Thursday, June 11, 2009

ตัณหา กับอำนาจ




กรณีเด็กชายชาวอังกฤษอายุ 13 ปี มีลูกกับเด็กสาวอายุ 15 ปี เป็นข่าวสั่นสะเทือนสังคมอังกฤษอยู่หลายวัน (แม้ว่ากระแสข่าวระยะต่อมาจะมีเด็กหนุ่มอีกหลายคนสงสัยว่า ตนเองอาจจะเป็นพ่อเด็ก ไม่ใช่พ่อหนุ่มอายุ 13 คนที่เป็นข่าว) ยังไม่นับข่าวอื้อฉาวของครูสาว ทั้งที่อังกฤษ ที่มีเพศสัมพันธ์กับนักเรียนเกรด6 หรือครูสาวออสเตรเลีย ที่มั่วสุมกับนักศึกษาแถมด้วยการเปลือยอก และครูสาวเยอรมัน ใส่ชั้นในเต้นให้เด็กนักเรียนอายุ 15 ปี ดู ส่วนประเทศไทยเองก็ไม่น้อยหน้า ด้วยข่าวเด็กนักเรียนอายุ 13 ปี มีเพศสัมพันธ์กับครูอายุ 29 ปี ตามด้วยข้อมูลจากมูลนิธิกระจกเงา กรณีมีคลิปแม่อายุ 40 กับลูก อายุ 14 แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต

กรณนี้ สั่นสะเทือนสังคมไทย เกิดคำถามถึงจริยธรรม ความเหมาะสม ของการแสดงออกทางเพศในสังคมไทย อย่างมาก และเกิดวงเสวนา สัมมนา หลายวง เกี่ยวกับเรื่องเพศในสังคมไทย

ข้าพเจ้ามีมุมมองที่อาจจะ “หาเรื่อง” สักหน่อย โดยขอมองอย่างเท่าเทียม ทั้งหญิง ชาย และเด็ก
ข้อแรก เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

กรณีนี้ ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยเสมอมา ว่า “วัยอันควร” อยู่ที่ไหน แต่ละสังคม และแต่ละยุคสมัย ก็มี “วัยอันควร” ที่แตกต่างกัน สังคมชนบทจะนิยมให้แต่งงานกันตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อจะได้ช่วยกันทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวกันเสียตั้งแต่ยังมีกำลัง แม้กระทั่งสังคมไทยในชนบทปัจจุบัน การแต่งงานตั้งแต่ยังไม่พ้นเด็กหญิง ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ถือว่าผิดปกติ ญาติของคนข้างบ้านของข้าพเจ้า ก็แต่งงานตอนอายุ 14 ย่าง 15 เจ้าบ่าวอายุ 16 ปี เธออยู่แค่จังหวัดฉะเชิงเทรานี่เอง ไม่ได้บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไหน เป็นการแต่งงานที่ผู้ใหญ่เห็นชอบทั้งสองฝ่าย

แต่วัยอันควร ของ “คนเมือง” มีปัจจัยที่มากกว่านั้น การแต่งงานไปขึ้นกับ “การศึกษา” ต้อง “เรียนให้จบ” จึงเหมาะสมที่จะมีครอบครัว เป็นวัยอันควรที่จะมีครอบครัว แต่ไม่ได้หมายถึงวัยอันควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถหักห้ามได้ ดังนั้น ก่อนจะมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ธรรมชาติ หรือจะกล่าวโดยเจาะจงก็คือ “ตัณหา” ของหนุ่มสาวย่อมทำงานตามกลไก และนั่นนำไปสู่การ “ทดลองมีชีวิตคู่” โดยไม่ต้องรับผิดชอบอนาคต เพราะว่ายังไม่ถึง “วัยอันเหมาะสมที่จะมีครอบครัว” นี่เอง ที่เป็นช่องทางให้เด็กวัยรุ่น มีโอกาสที่จะ “อ้าง” ความเหมาะสมทางสังคม เพื่อนจะเปลี่ยนคู่สนองตัณหาไปได้จนกว่าจะถึงวัยเหมาะสม ไม่ต้องมีความรับผิดชอบคู่ชีวิตแบบที่ต้องช่วยกันทำมาหากินสร้างอนาคต อย่างสังคมชนบท แถมยังปิดบังผู้ใหญ่ และอาจจะเกิดปัญหาทำแท้งตามมาด้วยซ้ำ

ข้าพเจ้าจึงอยากให้มองอย่างยุติธรรมแก่เด็ก ว่า ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ และครอบครัวมีหน้าที่จะต้องสอนให้เด็กรู้จัก “ความรับผิดชอบทางเพศ” การกระทำใดๆ ย่อมมีผลผูกพัน และต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่อ้าง “ความเหมาะสมของการสร้างครอบครัว” เพื่อการสำส่อนทางเพศ

ข้อสอง เด็กมีความกระหายใคร่รู้ทางเพศ ในขณะที่มีสื่อลามกมากมาย และเข้าถึงได้ง่ายกว่าอดีต

เป็นเรื่องปกติ ที่เด็กที่ย่างเข้าสู่วันรุ่นจะมีความกระหายใคร่รู้ทางเพศ ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ซึ่งสำหรับเด็กสาว ก็มักนำภัยมาสู่ตัวโดยง่าย เช่นตกเป็นเหยื่อของพวกที่ฉกฉวยโอกาสนี้ล่อลวงไปข่มขืน อนาจาร ในขณะที่เด็กชาย อาจจะกระทำการลวนลาม อนาจารเด็กที่อายุต่ำกว่า เช่นที่เคยมีข่าวว่าเด็กชายข่มขืนเด็กหญิงชั้นประถม โดยเด็กอ้างว่าเกิดจากการดูหนังโป๊

ต้องยอมรับว่า สื่อลามก ช่างเป็นสื่อที่สนองตัณหาและจินตนาการทางเพศอย่างเหนือจริง เซียนหนังโป๊คงไม่ปฏิเสธเลย ว่า พล็อตเรื่องแบบครูลูกศิษย์ สาวแก่เด็กหนุ่ม ชายแก่เด็กสาว มีให้เห็นมากมาย เหล่านี้ล้วนกระตุ้นจินตนาการทางเพศแบบผิดๆ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด “การกระทำทางเพศที่ไม่เหมาะสม” ซึ่งหมายถึงการแอบซ่อน ทำผิดทางเพศ ทั้งแบบที่ถูกล่อลวง และแบบยินยอมพร้อมใจ

แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่า สื่อลามก เป็นปัจจัยเดียวของการกระทำดังกล่าว ครอบครัว การเลี้ยงดู สถาบันการศึกษา เพื่อน และสังคมรอบตัว ก็มีผลอย่างมากต่อวิธีคิดของเด็ก สังคมไทยมักโยนความผิดให้ปัจจัยภายนอก แต่ไม่มองถึงปัจจัยภายใน ที่เกี่ยวกับครอบครัวและการเลี้ยงดู โดยเฉพาะการบ่มเพาะ “ความรับผิดชอบทางเพศ” ในสมองของเด็ก ซึ่งจะเป็น “เกาะป้องกัน” บรรดาสื่อลามกที่มีเพิ่มขึ้น สร้างเกาะในใจ ย่อมดีกว่ามามัวไล่สร้างรั้วป้องกัน ซึ่งดูท่าว่ารั้วจะกันอะไรไม่ได้เลย

ข้อสาม ตัณหากับจริยธรรม

กรณีของเด็กชายอายุ 13 กับ ครูสาวอายุ 29 เป็นตัวอย่างสำคัญ ของเรื่องตัณหา กับจริยธรรม

ในแง่ของสถานะทางสังคมแล้ว ครู มีสถานะเหนือศิษย์ แถมยังมีอายุมากกว่าศิษย์ตั้ง 16 ปี คนเป็นครูย่อมมีวิจารณญาณมากกว่าเด็ก การที่จะเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์กับเด็กนั้น เป็นไปได้ยากมาก ที่เด็กจะเริ่มก่อน แต่ต้องยอมรับว่า เด็กอยู่ในวัยอยากทดลอง และถ้าครูเปิดโอกาส (เรียกอย่างหยาบว่า ให้ท่า) เด็กก็ต้องมองเห็น และต้องการสานต่อ ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ครูผู้มีทั้ง อายุ อำนาจและสถานะสูงกว่า จะต้องเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ มิใช่กลายเป็นยินยอมพร้อมใจไปกับความอยากทดลองของเด็ก

ย้อนกลับไปถึงกรณีสื่อลามก ที่ก่อให้เกิดจินตนาการทางเพศแบบผิดๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดว่า การกระทำเหล่านั้นทำได้ในชีวิตจริง โดยเฉพาะเด็ก ซึ่งยังขาดความยั้งคิด หลงมัวเมาไปกับเรื่องเพศได้ง่าย อยู่ที่จะถูกชักจูง หรือกระตุ้นไปอย่างไร

ข้าพเจ้าก็ไม่อยากจะแฉ แต่เหตุการณ์แบบนนี้มิใช่เพิ่งเกิดขึ้น สมัยที่ข้าพเจ้าเรียนหนังสืออยู่ เพื่อนของเพื่อนเป็นครูฝึกสอน และมีข่าวมาว่าหล่อนล่อลวงเด็กชายชั้น ม. 1 มาเป็นทาสรัก แอบในห้องนอนได้ตั้งเป็นเดือน

สิ่งนี้เป็นเรื่องของการช่างน้ำหนัก ระหว่างจริยธรรม กับตัณหา
แล้วทำไม ตัณหา จึงชนะจริยธรรมล่ะ

ข้าพเจ้ามองถึงปัญหาลึกของสังคมไทย ในสังคมไทย การที่เพศหญิงแสดงออกถึงความต้องการทางเพศอย่างชัดเจนจะโดนประณามจากสังคม เช่น เป็นนังแรด เป็นผู้หญิงร่าน เป็นกะหรี่ ยิ่งมีสถานะในทางที่ต้องเป็นแบบอย่างทางสังคม ยิ่งไม่สามารถแสดงออกได้เลยว่า มีความต้องการทางเพศสูง เรียกได้ว่ามีความเก็บกดอยู่ในตัว ดังนั้นการค้นพบทางออกทางเพศที่มีควบคู่กับ “การใช้อำนาจ” ทางสังคม อาจจะทำให้เกิดความรู้สึก “เหนือกว่า” มีอำนาจ และสามารถบงการเรื่องทางเพศได้ตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นเสน่ห์เย้ายวนหอมหวาน ที่เพศหญิงบางคนต้องการมาก จนทำให้ต่อมจริยธรรมบกพร่อง ในขณะที่เด็กหนุ่มคู่กรณีก็ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องทางเพศที่ตนเองต้องการ จึงกลายเป็นเข้าคู่กันได้

ว่าตามตรง ถ้าไม่ใช่เหตุการณ์ระหว่างศิษย์กับครู อาจจะโดนโจมตีน้อยกว่านี้ก็ได้ ครูสาว ก็เป็นมนุษย์เพศหญิงธรรมดาเท่านั้นเอง ย่อมมีปมทางเพศเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงไทย หรือหญิงต่างชาติ

บางทีเพศหญิงก็ต้องการแสดงอำนาจทางเพศบ้าง แต่พวกหล่อนเองก็ขาดหนทางปลดปล่อย จึงเลือกจะใช้อำนาจกับคนที่สถานะต่ำกว่า และไปลงที่เด็กหนุ่ม ในขณะที่เด็กหนุ่ม ก็คิดว่า การได้ใช้ประสบการณ์ทางเพศกับผู้หญิงแก่กว่าก็เป็นอำนาจทางเพศของตนเช่นกัน

นี่เป็นกรณีของการสนองตัณหาและอำนาจ โดยที่ต่อมจริยธรรมไม่ทำงาน
ปัญหาคือ เราจะสร้าง “จริยธรรมในใจ” ทั้งกับเด็ก ผู้หญิง และ ผู้ชาย ได้อย่างไร
คำถามระดับโลก และเกี่ยวข้องกับทุกคนจริงๆ