Friday, June 6, 2008

การเมืองเรื่องเพศ : นักการเมืองเลสเบี้ยน



ช่วงนี้กระแสความหลากหลายทางเพศมาแรง ในภาคการเมืองไทย นักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง (หรือหลายคน) กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งก็ไม่มีนักเคลื่อนไหวหรือนักการเมืองคนใดออกมายอมรับกันจริงๆ ทั้งที่ในทางกฎหมายแล้ว ดูว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวหน้าในเรื่องของการให้สิทธิความหลากหลายทางเพศ

แน่นอน การยอมรับว่าตนเอง เป็นกลุ่มเพศที่สาม หรือเพศที่หลากหลาย หรือ ยังเลือกเพศไม่ได้ นั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย แม้จะเป็นที่ยอมรับกันในสังคมว่า กลุ่มคนที่มีอาชีพจำพวก วงการบันเทิง ความสวยงาม ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ส่วนใหญ่จะมีเพศที่สาม ทั้งยังได้รับการยอมรับว่ามี “ฝีมือ” อยู่ในขั้นแนวหน้า

แต่สำหรับวงการการเมือง ยากที่จะมีใครออกมายอมรับตรงๆ แม้จะมีข่าวลือ หรือเป็นที่รู้กันในกลุ่มนักการเมืองก็ตาม
นั่นแปลว่า การเมืองไทยยังไม่ก้าวหน้า ??

มองอย่างสายตาคนไม่ชอบการเมือง ก็ต้องบอกว่า การเมือง เป็นเรื่องของพวก “หัวโบราณ” ไร้ความก้าวหน้า ไร้จินตนาการ นโยบายส่วนใหญ่เป็นไปตามกรอบบรรทัดฐานสังคมเดิมๆ อย่าว่าแต่นักการเมืองเพศที่สามเลย แค่นักการเมืองเพศหญิง ก็ยังหาโอกาสเกิดในเวทีการเมืองได้ยาก ถึงยากที่สุด

ทั้งที่ความเป็นนักการเมืองหญิง ถูกนำมาเป็นจุดขาย สร้างความคึกคักให้วงการการเมือง โดยอาจยึดหมุดหมายสำคัญเมื่อ พ.ศ. 2536 สมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นผู้หญิงคนแรก คือ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัส ช่วงนั้นองค์กรผู้หญิงก็คึกคัก ทั้งสื่อมวลชนก็ตอบรับกระแสผู้หญิงกันอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งครั้งวันที่ 17พฤษภาคม 2539 มีผู้สมัครเป็นผู้หญิงมากมาย แต่ก็ได้รับการตอบรับมาต่ำกว่าความคาดหมาย นักการเมืองหญิงที่มีชื่อเสียง เช่น คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ สายตระกูลการเมืองเก่า ที่ปัจจุบันก็ห่างเวทีการเมืองไป ที่ยังได้ชื่อว่าทำงานการเมืองอยู่ เช่น สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปวีณา หงสกุล กัญจนา ศิลปอาชา ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า แต่ละคนมีพื้นฐานครอบเป็นครอบครัวการเมือง ทำให้สามารถทำงานการเมืองได้ต่อเนื่อง ด้วยการสั่งสมชื่อเสียงมาจากอดีต

เทียบเคียงกับประเทศแถบเอเชียด้วยกัน ฟิลิปปินส์ ก็มีประธานาธิบดีหญิง อย่าง กลอเรีย อาโรโย่ เกาหลีใต้ มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ ฮาน เมียง ซุก บังคลาเทศ มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ คลาลิด้า เซีย (เบกุม คาเลดาเซีย) ผู้นำพรรคชาตินิยมบังกลาเทศ ตามมาด้วย คู่แข่งต่างพรรค แต่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน คือ นางฮาสินา วาเจด หัวหน้าพรรคสันนิบาต ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งบังคลาเทศต่อมา (แต่การเมืองในบังคลาเทศ ถูกทหารยึดอำนาจและตั้งรัฐบาลที่กองทัพสนับสนุน และห้ามอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงทั้ง 2 คนเข้าประเทศ และเกิดความรุนแรงอันเนื่องมาจากการประท้วงของประชาชน จนประธานาธิบดี เอียจัดดิน อาเหม็ด ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาลรักษาการ และให้เลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นใน 22 ม.ค.นี้ ออกไปไม่มีกำหนด--อันแสดงถึงการใช้อำนาจแบบเพศชายยึดอำนาจทางการเมือง)

ที่สำคัญนักการเมืองหญิงส่วนใหญ่ ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของประเทศแถบเอเชีย ส่วนใหญ่มีพื้นฐานไม่ต่างจากนักการเมืองหญิงในประเทศไทย คือมีเบื้องหลังมาจากครอบครัวนักการเมือง

คลาลิด้า เซีย ก้าวสู่เวทีการเมืองหลังจากสามี คือ ประธานาธิบดี Ziaur Rahman ผู้เป็นสามีถูกลอบสังหารเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 รวมทั้ง ฮาสินา วาเจด ก็เกิดในตระกูลการเมืองคู่แข่งกับนางเซีย ที่ผลัดกันครองตำแหน่งทางการเมืองมาตั้งแต่บังกลาเทศได้รับเอกราชจากปากีสถานเมื่อปี 2514 ส่วน อาโรโย่ เป็นลูกสาวของ Diosdado Macapagal ประธานาธิบดีคนที่ 9 ของฟิลิปปินส์ ( พ.ศ.2504) รวมถึงนางอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย ที่เกิดและเติบโตในตระกูลการเมือง


ที่เติบโตมาจากการต่อสู้และทำงานหนัก และดูจะมี “แบ็ค” น้อยกว่าคนอื่นเห็นจะเป็น ฮาน เมียง ซุก เป็นนักสตรีนิยมสายตรง เติบโตมาจากนักเคลื่อนไหวด้านสตรีนิยม ซึ่งนับเป็นผู้ที่โดดเด่นมากที่สุด ในการก้าวสู่ตำแหน่งสูงสูดทางการเมือง
จึงกล่าวไม่ได้ว่า การเมืองไทย ไม่ก้าวหน้า

แต่การเมืองทั้งโลกก็ยังเป็นแบบเดิม และโลกการเมืองเป็นพื้นที่ของเพศชายอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะในโลกตะวันออก หรือโลกตะวันตก
แต่สำหรับแนวโน้มใหม่ที่กำลังมาแรง เห็นจะต้องไปดูที่ญี่ปุ่น

เมื่อ คานาโกะ โอซูจิ วัย 32 ปี อดีตสมาชิกสภาท้องถิ่นเมืองโอซากา ผู้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อาจจะก้าวมาเป็นนักการเมืองระดับชาติคนแรกที่เปิดเผยตนเองว่าเป็นชาวรักร่วมเพศ ถ้าเธอได้ชนะการลงคะแนนเลือกตั้งสภาล่างของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้

แรงบันดาลใจของคานาโกะ ที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมืองมาจากความเจ็บปวดและการอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอด 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากเธอยอมรับต่อสาธารณชนว่าเป็นเลสเบี้ยน คานาโกะ รู้ตัวว่าเป็นเลสเบี้ยนเมื่อตอนอายุ 18 เธอกล่าวถึงสังคมว่า

"ในญี่ปุ่น คุณไม่สามารถบอกได้ว่าคุณเป็นเลสเบี้ยน ไม่มีสาวรักร่วมเพศคนไหนที่ได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงทางทีวีหรือด้านอื่นๆ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเล่นการเมืองเพื่อเปลี่ยนแนวคิดของสังคมหรือส่งแง่คิดไปยังคนอื่นๆว่าไม่ควรละอายในสิ่งที่ตัวเองเป็น"

คำเปิดอกของเธอ สะท้อนภาพความเป็นจริงของวงการการเมืองกับความหลากหลายทางเพศได้อย่างชัดเจนทีเดียว
มิได้หมายความแค่การเปิดเผยของผู้หญิง แต่การเปิดเผยของผู้ชาย ก็อาจจะนำมาซึ่งผลกระทบเดียวกัน จึงยังไม่เห็นนักการเมืองคนไหนออกมายอมรับว่าตนเองมีความแตกต่างทางเพศ
ในทางการเมือง จึงเป็นเวทีของบรรทัดฐานเดิมๆ ความเชื่อ ค่านิยมดั้งเดิม แม้จะพยายามแสดงการเปิดกว้างมากมายเพียงใด สุดท้ายกรอบความคิดเก่าๆ ก็ยังเป็นกลไกสำคัญของการเมือง
กลไกที่เชื่อว่า การเมืองเป็นเวทีของผู้ชาย

Wednesday, April 16, 2008

HIM Rebel Yell

เพลงโจ๊ะพังก์เพลงนี้ ไม่ใช่ของตา Ville Valo แต่งเองหรอก แต่เป็นเพลงของเจ้าพ่อพังก์ Billy Idol จากอัลบั้มชุด Same Name ออกเมื่อปี 1984
วงที่เล่นCover เพลลงนี้ เช่น
HIM (เอามาเล่นแล้วดังมาก)
Children of Bodom, Kill Hannah, Dope, The Dillinger Escape Plan, Quintaine Americana, Bullets & Octane, Scooter ,Drowning Pool , ฯลฯ
ล่าสุดในปี 2007 วง symphonic power metal ของฟินแลนด์ ชื่อ Northern Kings นำมาเล่นในอัลบั้มรวมเพลง (รวมวงแนวเดียวกันนี้หลายวง รวมทั้ง Nightwish) ชื่ออัลบั้ม Reborn

Ville Valo ร้องเพลงนี้ได้ใจมาก ท่วงท่าพังก์ เป็นแสดงสดที่มันสุดๆ อีกเพลง

Monday, April 14, 2008

จากไปแล้วพร้อมบาป



"Gone With The Sin"

I love your skin oh so white ข้ารักกายของเจ้า ขาวนัก
I love your touch cold as ice ข้ารักสัมผัสแห่งเจ้า เยือกเย็นดังน้ำแข็ง
And I love every single tear you cry และข้ารักทุกหยาดน้ำตาของเจ้า
I just love the way you're losing your life ข้ารักหนทางที่เจ้าสูญเสียชีวิตของเจ้า

Ohohohohoh my Baby, how beautiful you are โอ เด็กน้อยของข้าเจ้าช่างสวยงามเหลือเกิน
Ohohohohoh my Darling, completely torn apart โอ ที่รักของข้า สูญสลายอย่างแท้จริง
You're gone with the sin my Baby and beautiful you are เจ้าจากไปแล้ว พร้อมบาป เจ้าเด็กน้อยของข้า -และเจ้าช่างสวยงาม
So gone with the sin my Darling แล้ว..จากไปแล้วพร้อมกับบาป ที่รักของข้า

I adore the despair in your eyes ข้าหลงใหลความสูญเสียในดวงตาของเจ้า
I worship your lips once red as wine ข้าบูชาริมฝีปากที่เคยแดงดุจไวน์ของเจ้า
I crave for your scent sending shivers down my spine ข้าปรารถนาให้กลิ่นของเจ้าสั่นวาบสันหลัง
I just love the way you're running out of life ข้าเพียงรักหนทางที่เจ้าสิ้นลมหายใจ

Ohohohohoh my Baby, how beautiful you are
Ohohohohoh my Darling, completely torn apart
You're gone with the sin my Baby and beautiful you are
So gone with the sin my Darling

Monday, March 24, 2008

การใช้ “ภาวะตั้งครรภ” เป็นอาวุธ



ช่วงนี้บรรยากาศบ้านเมืองและสังคมออกจะเงียบๆ เชียบๆ และซึมเซาอย่างไรชอบกลนะคะ เวทีชายหญิงก็พลอยซึมกระทือไปด้วยค่ะ
แต่จู่ๆ ครอบครัวของข้าพเจ้าก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกหนค่ะ เมื่อน้องชายคุณสามี ที่วันก่อนคุยกับข้าพเจ้าในเอ็ม (อ่า..ทันสมัยค่ะ) ว่าได้ไล่แฟนสาว (คนที่เท่าไหร่ไม่ทราบ) ออกไปจากบ้านแล้วเพราะเบื่อ มาวันนี้ค่ะ ข่าวคราวเปลี่ยนแปลงไปเป็นว่า แฟนสาวคนนั้นกลับมาด้วยแผ่นตรวจการตั้งครรภ์ 3 แผ่น (หมายความว่าเจ้าหล่อนตรวจถึง 3 รอบ) ว่าเจ้าหล่อนท้อง!!
เฮ้อ.. ท้อง ท้อง ท้อง
นี่เป็นความกระอักกระอ่วนเหลือประมาณ สำหรับข้าพเจ้า ประการแรก ข้าพเจ้ารู้นิสัยน้องชายดี มองเห็นน้องชายทิ้งผู้หญิงมาหลายราย รวมทั้งอดีตภรรยา ที่ข้าพเจ้าสนิทสนมเป็นพิเศษ (จนปัจจุบันก็สนิทอยู่) ข้าพเจ้ามองเห็นความไม่ทน ไม่จริงจัง ในน้ำเสียงของเขา ที่บ่นก็เป็นแต่เพียงความกลุ้มใจที่ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาของตนอย่างไร
ประการต่อมา ข้าพเจ้าเคยเห็นหญิงสาวคนนั้นของน้องชาย และรู้ด้วยสัญชาตญาณของเพศหญิงว่า เจ้าหล่อนรักและหวงน้องชายยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก หวงอย่างในละครน้ำเน่า เป็นอาการที่เมื่อเราเห็นก็มีแต่อยากจะออกห่างน้องชายเสีย กลัวหล่อนจะพลอยหวงเราไปด้วย
ประการสุดท้าย ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ปัญหา ทั้งในระดับครอบครัวและระดับประเทศ ปัญหามารอตรงหน้าของน้องชาย และเด็กสาวคนนั้น ซึ่งมันก็ขยายออกไปเป็นปัญหาสังคม

น้องชายและหญิงสาวของเขา ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปในสมัยนี้ คือ อยู่ก่อนแต่ง โดยความหมายของการอยู่ก่อนแต่งของทั้ง 2 ฝ่าย ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายชาย อยู่ด้วยกันเพราะสบาย สนองความต้องการ และมองว่า ฝ่ายหญิงก็มาอยู่ด้วยง่ายๆ น่าจะเข้าใจการมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ อนาคตค่อยว่ากันอีกที นี่ผู้ชาย
แต่ผู้หญิงมันไม่อย่างนั้นสิคะ ความคิดของเจ้าหล่อนก็คือ มาอยู่ด้วยกันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เพื่อควบคุม เพื่อตามติด เพื่อตามหึง และเพื่อต่อไปผู้ชายมันจะต้องไปขอชั้นแต่งงานแน่ๆ อุตส่าห์มาอยู่ด้วยเป็นผัวเป็นเมียตั้งนานสองนาน มันต้องรับผิดชอบ นี่คือผู้หญิง
ไม่ได้หมายความว่าทุกคู่เป็นแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่ง เป็นแบบนี้ล่ะคะ
เมื่อคิดด้วยเหตุผลคนละชุด ในที่สุดก็เลิกร้างกันไป เจ็บปวดมั่ง สร้างปัญหามั่ง อย่างร้ายๆ ก็ไล่ฆ่ากันมาเป็นข่าวก็หลายข่าวแล้ว

ไม่รู้จะกล่าวว่ามันคือปัญหาของความแตกต่างทางเพศหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นปัญหาของสังคม การขาดความรับผิดชอบต่อตัวเองในฐานะมนุษย์อันเป็นหน่วยย่อยของสังคม
สังคมไม่สอนให้มนุษย์เพศชายต้องรับผิดชอบ เพราะมนุษย์เพศชายไม่เคยผิด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพศ แทบไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในเรื่องการหอบผ้าผ่อนไปอยู่กับผู้หญิงคนไหน หรือเปิดบ้านรับใครมานอนด้วย ธรรมดามาก ความผิดตกอยู่กับผู้หญิงทั้งสิ้น ในสังคมล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยคำสั่งสอน หรือ วาทกรรม อันตอกย้ำความเป็นเบื้องล่างของผู้หญิง เช่น หอบผ้าหนีตามผู้ชาย มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ใจง่าย มั่วผู้ชาย ลองคิดสิคะว่า ข้อกล่าวหาเดียวกันนี้ เมื่อไปอยู่ที่หน้าผู้ชาย ดูมันจะไม่เจ็บไม่ปวดเอาเสียเลย เป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำ

กลับมาถึงเรื่องของครอบครัว
ความซับซ้อนมันเกิดขึ้น เพราะแม่เด็กสาว เอา “ภาวะตั้งครรภ์” มาเป็นอาวุธ ในการจับผู้ชายให้อยู่หมัด เป็นไม้ตายขั้นสุดท้ายของผู้หญิง
ในกรณีนี้ เรากล่าวได้ว่า ผู้หญิงต้องการมีท้อง แต่ผู้ชายไม่ต้องการให้ท้อง นี่เองที่เป็นปัญหา เพราะหล่อนไม่ได้ต้องการทำลายลูกในท้อง เราจึงไม่ได้เรียกร้องให้มีการทำแท้ง ไม่เกี่ยวกับการทำแท้งเสรี สิ่งเดียวที่ผู้หญิงท้องการคือความรับผิดชอบจากผู้ชาย ตรงๆ ก็คือ “แต่งงานกะชั้นซะ ชั้นท้องแล้วเว้ย” มันเป็นอาวุธที่ใช้กับทั้งครอบครัวของผู้ชายเลยทีเดียว
แต่มันคือความกระอักกระอ่วน ของครอบครัว ข้าพเจ้าเองก็ได้ยุให้น้องชายแต่งๆ เสียให้จบปัญหา เพราะมันมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่สามีกลับบอกว่า เฮ้ย มันท้องจริงรึ ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที นี่คือการรับมือกับปัญหาเดียวกัน ที่ต่างกันระหว่าง 2 เพศ ที่สำคัญ ไอ้น้องชายมันอยากแต่งกะคนนี้เสียที่ไหน มันว่า มันเบื่อจะแย่แล้ว
นี่ล่ะ ปัญหา
เพราะฝ่ายชายแสดงออกชัดเจนว่า ไม่ต้องการ แต่หากว่ากันตามทำนองคลองธรรม ครอบครัวฝ่ายชายก็ต้องจัดการตบแต่งเสียให้เรียบร้อย ไม่ให้ฝ่ายหญิงเสียหน้าเสียเกียรติ แต่ชีวิตล่ะคะ ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่แต่ง มันจะไปอย่างไร
ข้าพเจ้ามองเห็นความเจ็บช้ำ น้ำตา ของฝ่ายหญิง สงสารว่าหากไม่ได้รับการแต่งก็เสียหน้าและเสียใจ แต่ถ้าเธอแต่งงานมากับน้องชายคนนี้แล้วเธอจะเสียใจอีกแค่ไหน ชีวิตของหล่อนจะเป็นอย่างไร หล่อนช่างเลือกชีวิตของตัวเองให้เข้าตาจนเสียจริง โดยเอาภาวะการตั้งครรภ์มาเป็นอาวุธ
ใช่ค่ะ มันเป็นอาวุธ ที่ใช้บังคับฝ่ายชายได้ และน่าจะได้ผลด้วย
แต่อาวุธเดียวกันนี้ จะต้องมาทำร้าย และทิ่มแทงหล่อนทั้งชีวิต แบกรับภาระมากมายอันต่อเนื่องมาจากลูกในท้อง ยังไม่นับรวมว่าจะต้องใช้ชีวิตกับสามีที่ไม่รับผิดชอบ
ข้าพเจ้าคิดว่า รัฐควรรณรงค์การใช้ถุงยางให้มากขึ้น และควรจะรณรงค์อย่างเป็นธรรมชาติ การใช้ถุงยางเป็นการรับผิดชอบต่อตนเองและต่ออีกฝ่าย ไม่ใช้รณรงค์โง่ๆ เหมือนเป็นตัวตลกอย่างที่ในโฆษณาปัจจุบันทำออกมา โฆษณาชิ้นนั้นทำขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน และทไม้เป็นเรื่องตลก คนคิดโฆษณาอาจมองว่าทำให้ขำขำ เข้าไว้ เด็กจะได้กล้าใช้กล้าซื้อ แต่มันไม่ใช่เรื่องขำขำค่ะมันเป็นเรื่องของการรับผิดชอบชีวิตของตนเองและของคนอื่น และที่สำคัญ คนจะซื้อถุงยางไม่ใช่แต่ผู้ชาย ผู้หญิงเองนั่นล่ะ จำเป็นต้องซื้อถุงยางด้วย พวกหล่อนควรรู้จักซื้อถุงยางด้วยตัวเอง และรู้จักการรับผิดชอบชีวิตของตัวเองด้วยการใช้ถึงยาง
อย่าคิดว่า โอ๊ยย รักคนนี้ ไม่ใช้ถุงยาง ท้องก็ขอท้องกับคนนี้
บางทีเด็กสาวๆ สมัยนี้ดูละครน้ำเน่ามากไป ทั้งยังเสริมสติปัญญาด้วยข่าวบันเทิงรายวันอีกด้วย จึงทำให้คิดว่า การท้อง เป็นการถือไพ่เหนือกว่าของเพศหญิง
เปล่าค่ะ การท้อง ทำให้พวกหล่อนไร้ทางเลือก เปรียบเสมือนถือไพ่ Death ทุกอย่างตาย เรียบ ไร้ทางออก และพวกหล่อนจะถูกต้อนเข้าสู่ชีวิตครอบครัวอันไร้ทางเลือก ไปสู่ภาระหนักหนาของเพศแม่และเมีย เข้าสู่วงจรซ้ำซาก ไร้ปากเสียง ไร้ตัวตน
ข้าพเจ้าอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป


บทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารคนมีสี

Friday, March 7, 2008

Apocalyptica และ Linda Sundblad.




Apocalyptica feat Linda Sundblad -
Faraway



There is something in the way
You're always somewhere else
Feelings have deserted me
To a point of no return
I don't believe in God
But I pray for you

Don't you slip away from me
It's you I live for
Don't you leave no
Don't you slip away from me
I'm vulnerable to your love

There is something in the way
You're always somewhere else
Feelings have deserted me
To a point of no return
So the light fades out
And you're so close to lose it

Don't you slip away from me
It's you I live for
Don't you leave no
Don't you slip away from me
I'm vulnerable to your love

Don't you slip away from me
It's you I live my life for
Don't you slip away from me
I'm vulnerable to your love
Don't you slïp away

Thursday, January 17, 2008

nightwish --




Wish I Had An Angel

Deep into a dying day
I took a step outside an innocent heart
Prepare to hate me fall when I may
This night will hurt you like never before

Old loves they die hard
Old lies they die harder
I wish I had an angel
For one moment of love
I wish I had your angel
Your Virgin Mary undone
I`m in love with my lust
Burning angel wings to dust
I wish I had your angel tonight

I`m going down so frail `n cruel
Drunken disguise changes all the rules

Old loves they die hard
Old lies they die harder

I wish I had an angel
For one moment of love
I wish I had your angel
Your Virgin Mary undone
I`m in love with my lust
Burning angel wings to dust
I wish I had your angel tonight

Greatest thrill
Not to kill
But to have the prize of the night
Hypocrite
Wannabe friend
13th disciple who betrayed me for nothing!

Last dance, first kiss
Your touch my bliss
Beauty always comes with dark thoughts

[sighing and laughter]

I wish I had an angel
For one moment of love
I wish I had your angel
Your Virgin Mary undone
I`m in love with my lust
Burning angel wings to dust
I wish I had your angel tonight

[x4]
I wish I had an angel...