Monday, March 24, 2008

การใช้ “ภาวะตั้งครรภ” เป็นอาวุธ



ช่วงนี้บรรยากาศบ้านเมืองและสังคมออกจะเงียบๆ เชียบๆ และซึมเซาอย่างไรชอบกลนะคะ เวทีชายหญิงก็พลอยซึมกระทือไปด้วยค่ะ
แต่จู่ๆ ครอบครัวของข้าพเจ้าก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกหนค่ะ เมื่อน้องชายคุณสามี ที่วันก่อนคุยกับข้าพเจ้าในเอ็ม (อ่า..ทันสมัยค่ะ) ว่าได้ไล่แฟนสาว (คนที่เท่าไหร่ไม่ทราบ) ออกไปจากบ้านแล้วเพราะเบื่อ มาวันนี้ค่ะ ข่าวคราวเปลี่ยนแปลงไปเป็นว่า แฟนสาวคนนั้นกลับมาด้วยแผ่นตรวจการตั้งครรภ์ 3 แผ่น (หมายความว่าเจ้าหล่อนตรวจถึง 3 รอบ) ว่าเจ้าหล่อนท้อง!!
เฮ้อ.. ท้อง ท้อง ท้อง
นี่เป็นความกระอักกระอ่วนเหลือประมาณ สำหรับข้าพเจ้า ประการแรก ข้าพเจ้ารู้นิสัยน้องชายดี มองเห็นน้องชายทิ้งผู้หญิงมาหลายราย รวมทั้งอดีตภรรยา ที่ข้าพเจ้าสนิทสนมเป็นพิเศษ (จนปัจจุบันก็สนิทอยู่) ข้าพเจ้ามองเห็นความไม่ทน ไม่จริงจัง ในน้ำเสียงของเขา ที่บ่นก็เป็นแต่เพียงความกลุ้มใจที่ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาของตนอย่างไร
ประการต่อมา ข้าพเจ้าเคยเห็นหญิงสาวคนนั้นของน้องชาย และรู้ด้วยสัญชาตญาณของเพศหญิงว่า เจ้าหล่อนรักและหวงน้องชายยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก หวงอย่างในละครน้ำเน่า เป็นอาการที่เมื่อเราเห็นก็มีแต่อยากจะออกห่างน้องชายเสีย กลัวหล่อนจะพลอยหวงเราไปด้วย
ประการสุดท้าย ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ปัญหา ทั้งในระดับครอบครัวและระดับประเทศ ปัญหามารอตรงหน้าของน้องชาย และเด็กสาวคนนั้น ซึ่งมันก็ขยายออกไปเป็นปัญหาสังคม

น้องชายและหญิงสาวของเขา ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปในสมัยนี้ คือ อยู่ก่อนแต่ง โดยความหมายของการอยู่ก่อนแต่งของทั้ง 2 ฝ่าย ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายชาย อยู่ด้วยกันเพราะสบาย สนองความต้องการ และมองว่า ฝ่ายหญิงก็มาอยู่ด้วยง่ายๆ น่าจะเข้าใจการมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ อนาคตค่อยว่ากันอีกที นี่ผู้ชาย
แต่ผู้หญิงมันไม่อย่างนั้นสิคะ ความคิดของเจ้าหล่อนก็คือ มาอยู่ด้วยกันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เพื่อควบคุม เพื่อตามติด เพื่อตามหึง และเพื่อต่อไปผู้ชายมันจะต้องไปขอชั้นแต่งงานแน่ๆ อุตส่าห์มาอยู่ด้วยเป็นผัวเป็นเมียตั้งนานสองนาน มันต้องรับผิดชอบ นี่คือผู้หญิง
ไม่ได้หมายความว่าทุกคู่เป็นแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่ง เป็นแบบนี้ล่ะคะ
เมื่อคิดด้วยเหตุผลคนละชุด ในที่สุดก็เลิกร้างกันไป เจ็บปวดมั่ง สร้างปัญหามั่ง อย่างร้ายๆ ก็ไล่ฆ่ากันมาเป็นข่าวก็หลายข่าวแล้ว

ไม่รู้จะกล่าวว่ามันคือปัญหาของความแตกต่างทางเพศหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นปัญหาของสังคม การขาดความรับผิดชอบต่อตัวเองในฐานะมนุษย์อันเป็นหน่วยย่อยของสังคม
สังคมไม่สอนให้มนุษย์เพศชายต้องรับผิดชอบ เพราะมนุษย์เพศชายไม่เคยผิด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพศ แทบไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในเรื่องการหอบผ้าผ่อนไปอยู่กับผู้หญิงคนไหน หรือเปิดบ้านรับใครมานอนด้วย ธรรมดามาก ความผิดตกอยู่กับผู้หญิงทั้งสิ้น ในสังคมล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยคำสั่งสอน หรือ วาทกรรม อันตอกย้ำความเป็นเบื้องล่างของผู้หญิง เช่น หอบผ้าหนีตามผู้ชาย มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ใจง่าย มั่วผู้ชาย ลองคิดสิคะว่า ข้อกล่าวหาเดียวกันนี้ เมื่อไปอยู่ที่หน้าผู้ชาย ดูมันจะไม่เจ็บไม่ปวดเอาเสียเลย เป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำ

กลับมาถึงเรื่องของครอบครัว
ความซับซ้อนมันเกิดขึ้น เพราะแม่เด็กสาว เอา “ภาวะตั้งครรภ์” มาเป็นอาวุธ ในการจับผู้ชายให้อยู่หมัด เป็นไม้ตายขั้นสุดท้ายของผู้หญิง
ในกรณีนี้ เรากล่าวได้ว่า ผู้หญิงต้องการมีท้อง แต่ผู้ชายไม่ต้องการให้ท้อง นี่เองที่เป็นปัญหา เพราะหล่อนไม่ได้ต้องการทำลายลูกในท้อง เราจึงไม่ได้เรียกร้องให้มีการทำแท้ง ไม่เกี่ยวกับการทำแท้งเสรี สิ่งเดียวที่ผู้หญิงท้องการคือความรับผิดชอบจากผู้ชาย ตรงๆ ก็คือ “แต่งงานกะชั้นซะ ชั้นท้องแล้วเว้ย” มันเป็นอาวุธที่ใช้กับทั้งครอบครัวของผู้ชายเลยทีเดียว
แต่มันคือความกระอักกระอ่วน ของครอบครัว ข้าพเจ้าเองก็ได้ยุให้น้องชายแต่งๆ เสียให้จบปัญหา เพราะมันมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่สามีกลับบอกว่า เฮ้ย มันท้องจริงรึ ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที นี่คือการรับมือกับปัญหาเดียวกัน ที่ต่างกันระหว่าง 2 เพศ ที่สำคัญ ไอ้น้องชายมันอยากแต่งกะคนนี้เสียที่ไหน มันว่า มันเบื่อจะแย่แล้ว
นี่ล่ะ ปัญหา
เพราะฝ่ายชายแสดงออกชัดเจนว่า ไม่ต้องการ แต่หากว่ากันตามทำนองคลองธรรม ครอบครัวฝ่ายชายก็ต้องจัดการตบแต่งเสียให้เรียบร้อย ไม่ให้ฝ่ายหญิงเสียหน้าเสียเกียรติ แต่ชีวิตล่ะคะ ชีวิตคู่ที่ทำท่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่แต่ง มันจะไปอย่างไร
ข้าพเจ้ามองเห็นความเจ็บช้ำ น้ำตา ของฝ่ายหญิง สงสารว่าหากไม่ได้รับการแต่งก็เสียหน้าและเสียใจ แต่ถ้าเธอแต่งงานมากับน้องชายคนนี้แล้วเธอจะเสียใจอีกแค่ไหน ชีวิตของหล่อนจะเป็นอย่างไร หล่อนช่างเลือกชีวิตของตัวเองให้เข้าตาจนเสียจริง โดยเอาภาวะการตั้งครรภ์มาเป็นอาวุธ
ใช่ค่ะ มันเป็นอาวุธ ที่ใช้บังคับฝ่ายชายได้ และน่าจะได้ผลด้วย
แต่อาวุธเดียวกันนี้ จะต้องมาทำร้าย และทิ่มแทงหล่อนทั้งชีวิต แบกรับภาระมากมายอันต่อเนื่องมาจากลูกในท้อง ยังไม่นับรวมว่าจะต้องใช้ชีวิตกับสามีที่ไม่รับผิดชอบ
ข้าพเจ้าคิดว่า รัฐควรรณรงค์การใช้ถุงยางให้มากขึ้น และควรจะรณรงค์อย่างเป็นธรรมชาติ การใช้ถุงยางเป็นการรับผิดชอบต่อตนเองและต่ออีกฝ่าย ไม่ใช้รณรงค์โง่ๆ เหมือนเป็นตัวตลกอย่างที่ในโฆษณาปัจจุบันทำออกมา โฆษณาชิ้นนั้นทำขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน และทไม้เป็นเรื่องตลก คนคิดโฆษณาอาจมองว่าทำให้ขำขำ เข้าไว้ เด็กจะได้กล้าใช้กล้าซื้อ แต่มันไม่ใช่เรื่องขำขำค่ะมันเป็นเรื่องของการรับผิดชอบชีวิตของตนเองและของคนอื่น และที่สำคัญ คนจะซื้อถุงยางไม่ใช่แต่ผู้ชาย ผู้หญิงเองนั่นล่ะ จำเป็นต้องซื้อถุงยางด้วย พวกหล่อนควรรู้จักซื้อถุงยางด้วยตัวเอง และรู้จักการรับผิดชอบชีวิตของตัวเองด้วยการใช้ถึงยาง
อย่าคิดว่า โอ๊ยย รักคนนี้ ไม่ใช้ถุงยาง ท้องก็ขอท้องกับคนนี้
บางทีเด็กสาวๆ สมัยนี้ดูละครน้ำเน่ามากไป ทั้งยังเสริมสติปัญญาด้วยข่าวบันเทิงรายวันอีกด้วย จึงทำให้คิดว่า การท้อง เป็นการถือไพ่เหนือกว่าของเพศหญิง
เปล่าค่ะ การท้อง ทำให้พวกหล่อนไร้ทางเลือก เปรียบเสมือนถือไพ่ Death ทุกอย่างตาย เรียบ ไร้ทางออก และพวกหล่อนจะถูกต้อนเข้าสู่ชีวิตครอบครัวอันไร้ทางเลือก ไปสู่ภาระหนักหนาของเพศแม่และเมีย เข้าสู่วงจรซ้ำซาก ไร้ปากเสียง ไร้ตัวตน
ข้าพเจ้าอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป


บทความนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารคนมีสี

No comments: