Friday, December 28, 2007

คลั่งรัก muse



Hysteria
muse

It's bugging me, grating me
And twisting me around
Yeah I'm endlessly caving in
And turning inside out

'cause I want it now
I want it now
Give me your heart and your soul
And I'm breaking out
I'm breaking out
Last chance to lose control

It's holding me, morphing me
And forcing me to strive
To be endlessly cold within
And dreaming I'm alive

'cause I want it now
I want it now
Give me your heart and your soul
And I'm not breaking down
I'm breaking out
Last chance to lose control

And I want you now
I want you now
I'll feel my heart implode
And I'm breaking out
Escaping now
Feeling my faith erode

Tuesday, November 27, 2007

มิโดริสงสัยว่า ทำไมมนุษย์เพศเมียจึงต้องมีมดลูก




เช้าวันนี้ มิโดริเล่นเอ็มแต่เช้า

จู่ๆ หญิงสาวจากหลุมดำ ก็ออนมาแล้วบอกว่า เธอกำลังเมา และเธอกลัวว่าจะมีปรสิตของเขาตกค้างอยู่ในมดลูก

พระเจ้า



มิโดริคิดว่า พระเจ้าไม่น่าสร้างมดลูกให้ผู้หญิงเลย พระเจ้าน่าจะสร้างที่อุ้มตัวอ่อนไว้ที่หน้าท้องของมนุษย์ตัวผู้ และเมื่อมนุษย์มีเพศสัมพันธ์กัน มนุษย์ตัวผู้จะรับไข่จากมนุษย์ตัวเมียไปเก็บไว้ที่กระเป๋าหน้าท้อง และอุ้มท้องอยู่อย่างนั้นจนเก้าเดือน



ทำไมมนุษย์เพศเมียนอกจากมีภาระมากมายและ ยังต้องรับภาระทางสังคม

หากท้อง

จะต้องตอบคำถามของสังคมมากมาย

ทั้งๆ ที่มันก็แค่ธรรมชาติว่า เป็นเพราะเพศเมียอุ้มมดลูก



และหากมนุษย์เพศเมียคนนั้น ไม่ต้องการไอ้คนที่ทำให้ท้อง หล่อนก็มีสิทธิที่จะท้องโดยไม่มีพ่อมิใช่หรือ

หรือหากหล่อนไม่ต้องการจะอุ้มท้อง หล่อนมีสิทธิที่จะเอาตัวอ่อนออกไปหรือไม่

ทั้งมิโดริ และหญิงสาวจากหลุมดำ ไม่อยากอุ้มท้องด้วยเหตุผลที่อาจจะต่างกัน

แต่ทั้งสองคนก็ไม่ต้องการมีตัวอ่อน



มิโดริ คิดถึงหญิงสาวจากแผ่นดินแล้งคนหนึ่ง

หล่อนยอมที่จะท้อง เพราะคิดว่า ท้องของหล่อนจะจับมนุษย์เพศชายคนที่นอนกับหล่อนได้สำเร็จ

พระเจ้าช่างสร้างสมองเท่าเมล็ดถั่วให้หล่อน



เพราะมนุษย์เพศชายตัวนั้น ไม่ต้องการทั้งหล่อน และท้องของหล่อน

หล่อนคงต้องเอาตัวอ่อนออก เพราะหล่อนไม่เป้นที่ต้องการ

มันจะเจ็บปวดมาก หากพบว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ



มิโดริรู้ว่า การท้อง ไม่ได้ทำให้มนุษย์เพศผู้เห็นใจ

และสังคม ก็ไม่พร้อมจะเห็นใจมนุษย์เพศเมียที่ท้องโดยไร้ผัว



หญิงสาวจากหลุมดำกินยาชนิดหนึ่ง

มิโดริก็เคยกิน

ขอบคุณประเทศนี้ ที่ยังมียาแบบนี้ให้กิน

และมิโดริก็คิดไปถึงหญิงสาวจากปราสาทเก่าอีกคนหนึ่ง

หล่อนกินยาชนิดเดียวกัน มากกว่า 3 ครั้ง ใน 1 เดือน อันตราย

หล่อนท้อง

และหมอวินิจฉัยว่า ตัวอ่อนของหล่อนปัญญาอ่อน

หล่อนพอใจที่จะเอาตัวอ่อนออกไปจากท้องของหล่อน

ใช่ มันถูกกฎหมาย เพราะตัวอ่อนของหล่อนปัญญาอ่อน



มิโดริ ชักเหนื่อย

ทำไม มนุษย์เพศเมีย จึงมีภาระมากมาย อันเกิดจากมดลูกของพวกหล่อนด้วยนะ

Sunday, November 4, 2007

มีอยู่จริง เทพแห่งสแกนดิเนเวีย ดูเขาแสดงสด สุดยอด

มีอยู่จริง เทพแห่งสแกนดิเนเวีย ดูเขาแสดงสด สุดยอด
การแสดงสดขั้นสุดยอด ที่ทำให้ฉันเชื่อว่า เขาเป็นเอลฟ์

Saturday, November 3, 2007

Monday, October 15, 2007

กุหลาบ
















ดอกกุหลาบบาน
เพียงชั่วครู่

ยามเช้าผ่านไปแล้ว
แสงแดดเผา
กุหลาบกลั่นเป็นเลือด
ไหล นอง

ยามเที่ยงผ่านไป
เลือดแห่งกุหลาบนองเต็มหัวใจ
สะท้านสะเทือนภายใน
มิมีดอก
มิมีดอก
มิมีความรัก
สู่ยามเย็นอันร่วงโรย
แล้ววันก็ผ่านไป

Wednesday, August 29, 2007

starsailors เพลง In The Crossfire

ชอบเพลงนี้ค่ะ




In The Crossfire Lyrics
Artist(Band):Starsailor



Send polyphonic ringtone to your cell phone


I don't see myself when I look in the mirror
I see who I should be
I don't see myself when I look in your eyes
Thank God for that

I don't see myself when I look cross the river
I see where I should be
I don't see myself when I look from the sky
Thank God for that
I hear them screaming
On the radio
Its getting louder
In the crossfire
Trying to find some hope
From the ashes of their broken homes

I don't see myself when they fail to deliver
I see what I should be
I don't see myself when I look at the flag
Thank God for that

I hear them screaming
On the radio
It's getting louder
In the crossfire
Trying to find some hope

Our day will come
We'll find the sun
We'll find the fire
We'll sanctify
The love we gave
Our one desire

I hear them screaming
On the radio
Its getting louder
In the crossfire
Trying to find some hope
I hear them screaming
On the radio
Its getting louder
In the crossfire
Trying to find some hope
From the ashes of their broken homes

I don't see myself when I look in the mirror

Monday, August 27, 2007

การเมืองเรื่องเพศ : นักการเมืองเลสเบี้ยน





ช่วงนี้กระแสความหลากหลายทางเพศมาแรง ในภาคการเมืองไทย นักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง (หรือหลายคน) กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งก็ไม่มีนักเคลื่อนไหวหรือนักการเมืองคนใดออกมายอมรับกันจริงๆ ทั้งที่ในทางกฎหมายแล้ว ดูว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวหน้าในเรื่องของการให้สิทธิความหลากหลายทางเพศ



แน่นอน การยอมรับว่าตนเอง เป็นกลุ่มเพศที่สาม หรือเพศที่หลากหลาย หรือ ยังเลือกเพศไม่ได้ นั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย แม้จะเป็นที่ยอมรับกันในสังคมว่า กลุ่มคนที่มีอาชีพจำพวก วงการบันเทิง ความสวยงาม ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ส่วนใหญ่จะมีเพศที่สาม ทั้งยังได้รับการยอมรับว่ามี “ฝีมือ” อยู่ในขั้นแนวหน้า




แต่สำหรับวงการการเมือง ยากที่จะมีใครออกมายอมรับตรงๆ แม้จะมีข่าวลือ หรือเป็นที่รู้กันในกลุ่มนักการเมืองก็ตาม




นั่นแปลว่า การเมืองไทยยังไม่ก้าวหน้า ??




มองอย่างสายตาคนไม่ชอบการเมือง ก็ต้องบอกว่า การเมือง เป็นเรื่องของพวก “หัวโบราณ” ไร้ความก้าวหน้า ไร้จินตนาการ นโยบายส่วนใหญ่เป็นไปตามกรอบบรรทัดฐานสังคมเดิมๆ อย่าว่าแต่นักการเมืองเพศที่สามเลย แค่นักการเมืองเพศหญิง ก็ยังหาโอกาสเกิดในเวทีการเมืองได้ยาก ถึงยากที่สุด




ทั้งที่ความเป็นนักการเมืองหญิง ถูกนำมาเป็นจุดขาย สร้างความคึกคักให้วงการการเมือง โดยอาจยึดหมุดหมายสำคัญเมื่อ พ.ศ. 2536 สมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นผู้หญิงคนแรก คือ คุณหญิงจรัสศรี ทีปิรัส ช่วงนั้นองค์กรผู้หญิงก็คึกคัก ทั้งสื่อมวลชนก็ตอบรับกระแสผู้หญิงกันอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งครั้งวันที่ 17พฤษภาคม 2539 มีผู้สมัครเป็นผู้หญิงมากมาย แต่ก็ได้รับการตอบรับมาต่ำกว่าความคาดหมาย นักการเมืองหญิงที่มีชื่อเสียง เช่น คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ สายตระกูลการเมืองเก่า ที่ปัจจุบันก็ห่างเวทีการเมืองไป ที่ยังได้ชื่อว่าทำงานการเมืองอยู่ เช่น สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปวีณา หงสกุล กัญจนา ศิลปอาชา ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า แต่ละคนมีพื้นฐานครอบเป็นครอบครัวการเมือง ทำให้สามารถทำงานการเมืองได้ต่อเนื่อง ด้วยการสั่งสมชื่อเสียงมาจากอดีต




เทียบเคียงกับประเทศแถบเอเชียด้วยกัน ฟิลิปปินส์ ก็มีประธานาธิบดีหญิง อย่าง กลอเรีย อาโรโย่ เกาหลีใต้ มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ ฮาน เมียง ซุก บังคลาเทศ มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ คลาลิด้า เซีย (เบกุม คาเลดาเซีย) ผู้นำพรรคชาตินิยมบังกลาเทศ ตามมาด้วย คู่แข่งต่างพรรค แต่เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกัน คือ นางฮาสินา วาเจด หัวหน้าพรรคสันนิบาต ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งบังคลาเทศต่อมา (แต่การเมืองในบังคลาเทศ ถูกทหารยึดอำนาจและตั้งรัฐบาลที่กองทัพสนับสนุน และห้ามอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงทั้ง 2 คนเข้าประเทศ และเกิดความรุนแรงอันเนื่องมาจากการประท้วงของประชาชน จนประธานาธิบดี เอียจัดดิน อาเหม็ด ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาลรักษาการ และให้เลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นใน 22 ม.ค.นี้ ออกไปไม่มีกำหนด--อันแสดงถึงการใช้อำนาจแบบเพศชายยึดอำนาจทางการเมือง)




ที่สำคัญนักการเมืองหญิงส่วนใหญ่ ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของประเทศแถบเอเชีย ส่วนใหญ่มีพื้นฐานไม่ต่างจากนักการเมืองหญิงในประเทศไทย คือมีเบื้องหลังมาจากครอบครัวนักการเมือง




คลาลิด้า เซีย ก้าวสู่เวทีการเมืองหลังจากสามี คือ ประธานาธิบดี Ziaur Rahman ผู้เป็นสามีถูกลอบสังหารเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 รวมทั้ง ฮาสินา วาเจด ก็เกิดในตระกูลการเมืองคู่แข่งกับนางเซีย ที่ผลัดกันครองตำแหน่งทางการเมืองมาตั้งแต่บังกลาเทศได้รับเอกราชจากปากีสถานเมื่อปี 2514 ส่วน อาโรโย่ เป็นลูกสาวของ Diosdado Macapagal ประธานาธิบดีคนที่ 9 ของฟิลิปปินส์ ( พ.ศ.2504) รวมถึงนางอินทิรา คานธี แห่งอินเดีย ที่เกิดและเติบโตในตระกูลการเมือง




ที่เติบโตมาจากการต่อสู้และทำงานหนัก และดูจะมี “แบ็ค” น้อยกว่าคนอื่นเห็นจะเป็น ฮาน เมียง ซุก เป็นนักสตรีนิยมสายตรง เติบโตมาจากนักเคลื่อนไหวด้านสตรีนิยม ซึ่งนับเป็นผู้ที่โดดเด่นมากที่สุด ในการก้าวสู่ตำแหน่งสูงสูดทางการเมือง




จึงกล่าวไม่ได้ว่า การเมืองไทย ไม่ก้าวหน้า




แต่การเมืองทั้งโลกก็ยังเป็นแบบเดิม และโลกการเมืองเป็นพื้นที่ของเพศชายอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะในโลกตะวันออก หรือโลกตะวันตก




แต่สำหรับแนวโน้มใหม่ที่กำลังมาแรง เห็นจะต้องไปดูที่ญี่ปุ่น




เมื่อ คานาโกะ โอซูจิ วัย 32 ปี อดีตสมาชิกสภาท้องถิ่นเมืองโอซากา ผู้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน อาจจะก้าวมาเป็นนักการเมืองระดับชาติคนแรกที่เปิดเผยตนเองว่าเป็นชาวรักร่วมเพศ ถ้าเธอได้ชนะการลงคะแนนเลือกตั้งสภาล่างของญี่ปุ่น ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ แรงบันดาลใจของคานาโกะ ที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมืองมาจากความเจ็บปวดและการอยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอด 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากเธอยอมรับต่อสาธารณชนว่าเป็นเลสเบี้ยน คานาโกะ รู้ตัวว่าเป็นเลสเบี้ยนเมื่อตอนอายุ 18 เธอกล่าวถึงสังคมว่า



"ในญี่ปุ่น คุณไม่สามารถบอกได้ว่าคุณเป็นเลสเบี้ยน ไม่มีสาวรักร่วมเพศคนไหนที่ได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงทางทีวีหรือด้านอื่นๆ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเล่นการเมืองเพื่อเปลี่ยนแนวคิดของสังคมหรือส่งแง่คิดไปยังคนอื่นๆว่าไม่ควรละอายในสิ่งที่ตัวเองเป็น"




คำเปิดอกของเธอ สะท้อนภาพความเป็นจริงของวงการการเมืองกับความหลากหลายทางเพศได้อย่างชัดเจนทีเดียว




มิได้หมายความแค่การเปิดเผยของผู้หญิง แต่การเปิดเผยของผู้ชาย ก็อาจจะนำมาซึ่งผลกระทบเดียวกัน จึงยังไม่เห็นนักการเมืองคนไหนออกมายอมรับว่าตนเองมีความแตกต่างทางเพศ




ในทางการเมือง จึงเป็นเวทีของบรรทัดฐานเดิมๆ ความเชื่อ ค่านิยมดั้งเดิม แม้จะพยายามแสดงการเปิดกว้างมากมายเพียงใด สุดท้ายกรอบความคิดเก่าๆ ก็ยังเป็นกลไกสำคัญของการเมือง





กลไกที่เชื่อว่า การเมืองเป็นเวทีของผู้ชาย

Wednesday, July 18, 2007

แม่ และ เมีย



ก่อนแต่งงาน ข้าพเจ้าคบกับแฟนยาวนานกว่า 8 ปี คำถามยอดฮิตคือ “เมื่อไหร่จะแต่งงาน” จนชีวิตการแต่งงานของข้าพเจ้ากินเวลานาน 3 ปีแล้ว คำถามยอดฮิตตอนนี้ก็คือ “เมื่อไหร่จะมีลูก” เป็นคำถามของผู้หวังดีที่เห็นว่า ควรจะรีบมีลูกเสียที ก่อนที่จะแก่
สังคมไทย คาดหวังให้ผู้หญิงมีที่พักพิง มีผัวเป็นตัวเป็นตน ผู้หญิงดี ก็ควรจะมีสามีที่เหมาะสม สำหรับหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว สังคมก็คาดหวังว่า ต้องมีลูก (แต่หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน ห้ามมีลูกก่อนแต่ง)
ในทางธรรมชาติ เพศเมีย ย่อมคู่กับการอุ้มท้อง เพราะสรีระของเพศเมียประกอบด้วยรังไข่ และมดลูก อันเป็นอวัยวะสำคัญในการสืบพันธุ์ (ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น ไม่มีมดลูก หรือ มดลูกฝ่อ รังไข่ไม่ทำงาน ฯลฯ)
ดังนั้น การคาดหวังให้เพศเมียเป็นผู้สืบพันธุ์ ย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ในฐานะส่วนประกอบของสังคม การที่เพศเมีย หรือผู้หญิงมีลูก สถานะทางสังคมที่กลายเป็นภาระหนักอึ้งบนบ่าไหล่ นั่นคือ ความเป็นแม่ ซึ่งต้องดำเนินคู่ไปกับความเป็นเมีย (ถ้ายังคงความเป็นเมียอยู่-ไม่ได้หย่าขาดจากสามี)
ดังนั้นจึงมีผู้หญิงบางส่วนที่ไม่ต้องการภาระหนักอึ้งดังกล่าว พวกหล่อนยังไม่อยากเป็นแม่ แม้จะเป็นเมีย ยังไม่นับรวมผู้หญิงบางส่วนที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการ แม้จะเป็น “เมีย” โดยพฤตินัย แต่ก็ยังไม่ต้องการเป็น “แม่” เพราะสังคมยังไม่ได้รับรองสถานภาพ “เมีย” ของหล่อน
มีเรื่องเล่าจากช่างเย็บผ้าข้างบ้าน เล่าถึงเพื่อนช่างเย็บผ้าอีกคน ที่แต่งงานมีสามีแล้ว แต่สามีเป็นคนไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจเลี้ยงดูฝ่ายภรรยา วันหนึ่งภรรยาตั้งท้อง จึงได้ตัดสินใจไป “เอาออก” เพราะคิดว่า หากลูกเกิดมาต้องลำบากแน่นอน เพื่อนบ้านช่างเย็บผ้าเล่าไปก็เสนอความเห็นไป “สงสาร ชั้นมีผัวยังงั้นชั้นก็ไม่ยอมมีลูกหรอก ลำบากตาย”
นี่ขนาดเธอคนนั้น มีผัวเป็นตัวเป็นตน เธอก็ยังไม่อยากมีลูก
เรื่องเล่าอีกเรื่อง มาจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมของข้าพเจ้า เมื่อเรียนระดับมหาวิทยาลัยชื่อดัง หล่อนก็กลายเป็นสาวสมัย ที่ในที่สุดก็ตั้งท้อง แต่ด้วยเพราะยังเรียนอยู่ เธอจึงไม่สามารถอุ้มท้องได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องไป “เอาออก” ด้วยเหตุผลว่ากลัวไม่มีสิทธิ์ได้รับปริญญา อันที่จริง ในที่สุดเธอก็ไม่ได้รับ เพราะเธอดันพลาดตั้งท้องมากกว่า 1 ครั้ง และ “เอาออก” ทุกครั้ง ด้วยเหตุผลเดิม แต่เธอไม่ได้รับปริญญาเพราะเธอไม่ไปเรียน ไม่เกี่ยวกับการตั้งท้อง
กรณีทั้งสองที่ยกมา ผู้หญิงสองคน ในสถานะทางสังคมต่างกัน ช่างเย็บผ้าโหล กับสาวมหาวิทยาลัยชื่อดัง เลือกเอาลูกออก เพราะไม่ต้องการเป็นแม่ ไม่พร้อมเป็นแม่ สำหรับบ้านพุทธเมืองพุทธ เธอทั้งสองก็เป็นคนบาป เป็นแม่ใจร้าย เป็นสาวใจแตก แล้วแต่จะว่ากันไป
สังคมไทย ตั้งความคาดหวังให้ผู้หญิงมากเหลือเกิน จนกลายเป็นกรอบบีบคั้น ขีดเส้นทางเดินของผู้หญิง ไม่ว่าผู้หญิงจะทำอะไร ดูเหมือนว่าผิดไปเสียหมด เมื่อเธอมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เธอได้รับคำชื่นชมว่า “ใจแตก” ในขณะที่ฝ่ายชายอาจถูกด่าเพียงว่า “เสเพล ไข่แล้วทิ้ง –ผู้ชายก็เป็นยังงี้”
เมื่อตั้งท้อง เธอก็ถูกคาดหวังว่า ต้องเป็นแม่ที่ดี เลี้ยงลูกด้วยความรัก ใครแอบเอาลูกไปทิ้งที่สถานีขนส่งนี่ รับรองว่า เสียงก่นด่าคงมีมากกว่าคำเห็นใจ
มันไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงเอาเสียเลย
เพราะพวกเธอไม่มีสิทธิ์กำหนดชีวิตของตัวเอง อนาคตของเธอ มดลูก ท้อง รังไข่ ล้วนเป็นของเธอ แต่ทว่ากลับตกอยู่ใต้การควบคุมของสังคม หากเธอต้องการจะเลือก สิ่งที่เธอเลือกก็กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เรื่องแอบกระทำ
กฎเกณฑ์ทางสังคม สร้างภาระให้เพศหญิง และแทนที่จะสร้างกรอบกำหนดให้เพศชายให้รู้จักรับผิดชอบ และเห็นใจเพศหญิง กลับกลายเป็นยิ่งสร้างบรรทัดฐานที่กลายเป็นว่า ผู้ชายทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด ลูกชายเจ้าชู้ ก็เป็นเรื่องปกติ หรือผัวชอบเมียเอาใจ เมียก็ต้องเอาอกเอาใจ ยอมทำตัวเหมือนโสเภณีให้ผัวเล่น ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดสาย “เนาวรัตน์” หรือ สาย “ระเบียบรัตน์” ก็ล้วนเป็นวิธีคิดแบบไม่เท่าเทียม และกดเพศหญิง อันกำเนิดมาจากความคิดยกย่องเทิดทูนเพศชาย
ไหนล่ะ การสร้างบรรทัดฐานใหม่ สร้างความเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย
มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง บอกข้าพเจ้าว่า เรียนไปทำไม สตรีนิยม ทำไมต้องแบ่งหญิงชาย ไม่เข้าท่า เรียกร้องสิทธิสตรีทำไม ถ้างั้นก็เรียกร้องการยืนบนรถเมล์ ใช่มั้ย
ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบเขา ว่าข้าพเจ้าเรียนสตรีนิยม เพื่อจะเอาไปใช้ในการวิเคราะห์วรรณกรรม แต่ข้าพเจ้าบอกเขาไปว่า การเรียนสตรีนิยม ก็คือการศึกษาเรื่องระบบสังคมนั่นเอง ไม่เห็นจะต้องคิดมาก แล้วก็อธิบายเรื่องความแตกต่างของวิธีคิดของกลุ่มสตรีนิยมไปพอสังเขป
ผู้หญิงที่เรียกร้องสิทธิสตรี มักถูกมองว่า เรียกร้องหาความลำบาก อยากยืนบนรถเมล์ อยากมีหนวด นั่นเป็นข้อหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจถึงภาระของเพศหญิง ภาระแม่และเมียที่หนักอึ้ง นอกจากนี้ยังมีกรอบเกณฑ์ที่เกิดจากผู้หญิงด้วยกันเอง ภายใต้ความคิดเทิดทูนเพศชาย ที่หันมาทำร้ายผู้หญิงกันเอง
ไม่มีหรอก มันไม่เคยมีความเท่าเทียม ตราบใดที่ผู้ชายไม่มีมดลูก และผู้หญิงไม่มีองคชาติ ดังนั้นย่อมไม่มีความเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะย้ำคือผู้ชายไม่มีวันเข้าใจสภาวะของการมีมดลูก ว่ามันลำบากมากมายขนาดไหน ทั้งทางกายภาพ และทางจิตวิญญาณ
สำหรับทางสังคม สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมากกว่า ก็คือ ความเห็นใจระหว่างเพศ การสร้างความเข้าใจถึงภาระของเพศหญิง และสร้างความรับผิดชอบในเพศชาย
ความเท่าเทียมกันในความหมายนี้ มิใช่ว่าชายหญิง แค่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งเท่าๆ กัน
แต่มันหมายถึง การร่วม “รับผิด” “รับชอบ” ในสังคมเดียวกัน ภาระเมีย ไม่ควรมากกว่า ภาระของผัว และความเป็นแม่ ควรมีพ่อเป็นผู้ร่วมแบกภาระเดียวกัน
เข้าใจกันไหมเนี่ย

Monday, June 11, 2007

คณิกาสร้างวัด กับการแก้ผ้าทำบุญ




เมื่อครั้งเห็นข่าวดาราและไฮโซเปลือยผ้า ถ่ายนู้ดเพื่อหารายได้มาทำบุญให้วัดพระบาทน้ำพุ สิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในสมองคือ ชื่อวัดคณิกาผล

วัดคณิกาผล ปัจจุบันเป็นวัดสายมหานิกาย ตั้งอยู่ถนนพลับพลาไชย บริเวณ "ไชน่าทาวน์" เยาวราช ตามประวัติว่า ในอดีตย่านนั้นเป็นสถานที่รวมของสำนักโคมเขียว ซึ่งวัดนั้นเดิมสร้างขึ้นจากกลุ่มหญิงบริการกลุ่มหนึ่งที่มีหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ “ยายแฟง” เป็นผู้รวบรวม และ ออกทุนให้สร้างวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทขึ้นที่บริเวณตรอกโคก (ปัจจุบันคือ ถนนพลับพลาไชย) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าจีน และ โรงเจตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้วมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อตรอกว่า “วัดโคก” วัดนี้เปิดให้ชาวบ้าน และ สงฆ์ทำพิธีกรรมมานานจนกระทั่งเข้าสู่สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาลูกหลานของย่าแฟงจึงขอพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 4 ให้พระราชทานนามของวัดโคกเสียใหม่ พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “วัดคณิกาผล” ตามประวัติที่มาเดิมนั่นเอง

บริเวณทางเข้าหน้าวัด มีพระพุทธรูปสมเด็จพระอาจารย์โตแห่งวัดระฆังตั้งให้ผู้มีจิตศรัทธาได้แวะเข้ามากราบไหว้ และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในมีรูปปั้นครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่ มีคำจารึกที่ว่า“วัดคณิกาผลนี้ สร้างขึ้นโดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโลหิตในปีพุทธศักราช 2346” (ข้อมูลจาก http://www.bmasmartschool.com)
วัดคณิกาผล จึงเป็นวัดที่เป็นผล แห่งนางคณิกา โดยแท้ ซึ่งมิใช่ความผิดของนางคณิกา หากต้องการจะสร้างวัดเพื่อทำบุญเอาบุญไปไว้เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาลำบากลำบนขายตัว ไม่รู้ว่าคณิกาสมัยก่อนเขาคิดกันอย่างนี้หรือเปล่านะ แต่ข้าพเจ้าบังเอิญได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่ผันตัวจากพนักงานธุรการในบริษัทอาหารชื่อดัง ไปเป็นนางคณิกาในคลับหรูอันดับหนึ่ง ที่มีค่าตัวออฟครั้งละ 2,500 บาท ขึ้นไป เธอเป็นหญิงสาวที่ชอบทำบุญมาก ทุกเดือนเธอต้องไปทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพง มีบุญอะไรบอกได้ เธอช่วยหมด เธอว่า ชาติหน้าจะได้ไม่ลำบากอย่างที่เป็น เป็นความเชื่อฝังหัวเธอมาก ปัจจุบันเธออยู่ต่างประเทศ มีชายชาวอเมริกันรับเธอเป็นภรรยา และเธอเชื่อว่าเป็นผลจากการที่เธอหมั่นทำบุญกุศล

ไม่แปลกที่คน (ที่คิดว่าตนเอง) บาป จะหมั่นขยันทำบุญ และก็มิใช่เรื่องผิด ที่สังคมจะต้องประณาม หยามเหยียด หากต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเธอ ศาสนาเป็นสิ่งเดียวที่ยึดโยงจิตใจของพวกเธอ และทำให้เธอมีความหวัง (แม้จะฟังดูลมๆ แล้งๆ) กับชีวิตชาตินี้หรือชาติหน้า ดังในอดีตที่คณิกาก็สามารถรวมกลุ่มสนับสนุนสร้างวัดได้

แปลว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการถ่ายนู้ดทำบุญ... หลายคนกำลังถาม

มองเผินๆ อาจจะใช่ ข้าพเจ้าให้ความเป็นธรรมกับพวกหล่อน ในการทำบุญ ทว่า วิธีการทำบุญแบบนี้ดูว่าจะมีนัยยะแอบแผงหลายประการ อันควรค่าแก่การประณามหยามเหยียด!!

พวกหล่อน กระทำการนี้ โดยมิได้มีเจตนาบริสุทธิ์เพื่อการทำบุญ เขียนเป็นโมเดลก็คือ หล่อน--------ถ่ายนู้ด(มีคำปกป้องโก้เก๋ว่าไม่เอาค่าตัว)---------โฆษณา/ลงสื่อ/เป็นข่าว-----------ประมูล-----------เอาเงินไปทำบุญ

ก็พวกหล่อนแต่ละคน ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา มีเงิน มีศักดิ์ศรีในสังคม พวกหล่อนกำเงินไปคนละสามหมื่นห้าหมื่น (หรือบางคนไอ้เงินหลักล้านนั้นถือว่า “ขี้ๆ”) ไปทำบุญโดยตรงเลยตั้งแต่แรก ตัดขั้นตอนทั้งหมดออก แล้วมันไม่ตรงกว่าหรือ นั่นคือ พวกหล่อนต้องการทำบุญ อย่ามาอ้างกันว่า ทำบุญๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะหล่อนไม่ได้ต้องการทำบุญ พวกหล่อนอยากได้หน้า ว่าเป็นผู้ยอมแก้ผ้าเพื่อทำบุญ

กรอบสำคัญของทั้งหมดนี้ คือ ระบบคิดแบบทุนนิยม โดยมีนิตยสารเล่มนั้นเป็นผู้สร้างจุดขาย โดยใช้วิธีคิดงี่เง่าด้วยการใช้ภาพนู้ดเพื่อสร้างจุดขาย มิใช่แค่การเหยียดหญิง ทว่า เหยียดมนุษย์ ทั้งหญิงชาย เหยียดหยามสติปัญญาของผู้เสพงานศิลปะ เหยียดหยามมูลค่าความเป็นคน เหยียดหยามกระทั่งนิตยสารของตัวเอง

หากต้องการถ่ายภาพนู้ดแบบศิลปะ ก็ทำไป เป็นสิทธิ์ของการใช้เรือนร่างทั้งมวล ในทางของทุนนิยม แต่เมื่อคุณเอาสิ่งนี้เข้ามาเป็นจุดขาย เพื่อหาเงิน แล้วยังจะอ้างว่าเอาไปทำบุญ นั่นคือหายนะ

มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าจะเรียกว่าบริสุทธิ์ใจ

เจตนาของนางแบบอาจจะดี แต่กระบวนการคิดทั้งมวล มันบิดเบี้ยว อย่างน่าตกใจ

ข่าวคราวจบลงเมื่อ พระอุดมประชาทร หรือหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ได้ปฏิเสธรับเงินดังกล่าว โดยมีเหตุผลว่า “หลังมีข่าวออกไป ทางญาติโยมก็โทรศัพท์มาบอกว่าทางวัดไม่ควรรับเงินดังกล่าวเพราะไม่เหมาะสม อาตมาก็เห็นด้วย เพราะหากรับจะดูเหมือนไปส่งเสริมการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ต้องขอบใจในน้ำใจอันดีงามของเหล่าดารานางแบบที่ต้องการจะช่วยเหลือทางวัด แต่ทางที่ดีควรหาวิธีการที่เหมาะสม จะจัดแข่งกีฬา หรือจัดการแสดงดนตรีน่าจะเหมาะกว่า อาตมาคงรับเงินไม่ได้ แต่หากผู้จัดและเหล่าดารามีความตั้งใจจริง ก็ให้นำเงินการกุศลครั้งนี้ไปมอบให้โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 ต.ดงดินแดง อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี แทน เพราะที่นั่นมีลูกหลานของผู้ป่วยเอดส์เรียนหนังสืออยู่” (เดลินิวส์ วัน เสาร์ ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2550)

นอกจากนี้ยังปิดท้ายรายการด้วยข่าว หนึ่งในนางแบบออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “แต่เข็ดเลยกับการทำงานแบบนี้ ต้องบอกว่าต่อไปนี้ ต้องคิดเยอะๆ กับการรับงานอะไรก็ตาม ต้องคิดเสมอว่าถ้ารูปนี้ไปอยู่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์จะเกิดอะไรขึ้น ต่อไปนี้คงจะได้เห็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” (คมชัดลึก 16 เมษายน 2550)

เรียกว่า “วงแตก”

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตามข่าวว่า ตกลงดาราทั้งมวล เขาได้เอาเงินไปทำบุญที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์33 ตามที่หลวงพ่ออลงกตท่านชี้แนะหรือไม่

นางคณิกา เขายังสร้างวัดกันสำเร็จ เลยนะ จะบอกให้

Thursday, May 17, 2007

กระหรี่ออนไลน์ โสเภณีสาธารณ์ และผู้ถูกจ้องมอง



การที่ผู้หญิงเป็นสินค้าทางเพศ ก็เป็นที่ชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก สำหรับข้าพเจ้า แม้จะถือคติแบบสตรีนิยมว่า เรือนร่างของเรา เป็นสิทธิของเรา แต่การเอาเรือนร่างมาเร่ขาย ข้าพเจ้าเห็นว่านับเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างถึงขีดสุด ไม่ให้เหลือความเป็นคนกันอีก เป็นการกระทำที่เจ้าของเรือนร่างคิดว่า มีสิทธิในเรือนร่างเต็มที่ แต่ในความจริง การเร่ขายเช่นนั้น แสดงให้เห็นถึงการนับถือเงินเป็นใหญ่ อย่ามาอ้างสิทธิในร่างกายใดๆ เมื่อนำเรือนร่างมาแบหลาให้เพศตรงข้ามเล่นเป็นของสนุก เพื่อเงิน

ข้าพเจ้าเชื่อในสิทธิของการใช้เรือนร่างของมนุษย์เพศหญิง เช่น พวกหล่อนมีสิทธิในการเลือก ขอย้ำว่า เลือก ที่จะนอนกับคนที่พอใจ เลือก มิใช่ถูกเลือก หรือยอมนอนกับใครก็ได้ เพื่อเงิน นั่นมิใช่หนทางของการใช้เรือนร่างตามสิทธิของตน

ทุนนิยมและโลกเทคโนโลยี กลับยิ่งทำให้คติเร่ขายร่างกาย แพร่หลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สมัยอดีต การโฆษณาสินค้านาผืนน้อย ทำได้เพียงการโฆษณาเฉพาะจุดขาย นั่นคือ มีอะไรก็โชว์กันตรงนั้น ต่อหน้ามนุษย์คู่ค้า อีกนัยหนึ่งคือ เพื่อดักล่อเหยื่อตัณหากลับ ทว่า ในโลกของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต อีเมล เอ็มเอสเอ็น การโฆษณาสินค้าออนไลน์ดูจะกลายเป็นเรื่องระบาดในหมู่วัยรุ่น

ก่อนหน้านี้ อีเมลประเภทเสนอราคาขายชัดเจน แพร่หลายอยู่มาก เป็นการขายสินค้ากันตรงๆ โดยส่งเมล์สุ่มให้กลุ่มลูกค้า เป็นภาพถ่ายทุกอิริยาบท ไม่ต่างจากหนังสือปลุกใจเสือป่า พร้อมระบุว่ายังเรียนอยู่ที่ไหน ติดต่อที่เบอร์ไหน ปิดท้ายว่า ราคาเท่าไหร่ต่อคืน หรือบางคนระบุว่า ไม่รับค้างคืน นี่ชัดเจนว่า เป็นการขายตัวออนไลน์ ไม่ต้องไปนั่งขายยืนขายหน้าโรงแรมสยาม หรือนั่งอ่อยเหยื่อหน้าผับบาร์ดังๆ

การขายตัวจึงกลายเป็นเรื่องง่าย เมื่อสื่อผ่านในอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกลัวใครมาเห็นตอนยืนขายตัว หากคนรู้จักมาเปิดเจอเมล์ ก็อ้างไปว่า โดนกลั่นแกล้ง เพราะมันไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า

แต่เมื่อมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น โทรศัพท์มือถือถ่ายวิดีโอได้ และยูทูบมียูทูบเป็นเว็บไซต์สื่อกลาง (ไม่อยากบอกว่า จริงๆ มันมีพอร์นทูบอีกอัน นั่นสำหรับพวกฮาร์ดคอร์) การเปิดเผยเรือนร่างแบบสาธารณ์ก็ยิ่งแพร่ระบาด

เริ่มจาก การโชว์เล็กๆ น้อยๆ ผ่านเว็บแคม อวดเนินอก อ้าขาวับแวม จนกระทั่งโชว์แบบถึงขั้นสยองแบบดาราหนังโป๊ โดยนิสัยใจกล้าหน้าด้านเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะพวกหล่อนคิดว่าหล่อนไม่รู้จักคู่สนทนาขนาดที่จะทำให้เกิดความอับอาย

มันระบาด เพราะมันเป็นสื่อที่มีความเป็นส่วนตัวสูง แอบทำในที่ลับ แต่แพร่ขยายกระจายไปดังไฟลามทุ่ง (สำนวนเก่าไปไหมเนี่ย) กลายเป็นคลิป เป็นอีเมล์ ส่งต่อๆๆๆ กันไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ดาราคนไหนออกัสซั่มโชว์ คนทั้งประเทศที่มีคอมพิวเตอร์ ก็สามารถก็รู้กันหมด

การ ที่ดารานางนั้น ทำท่าเซ็กซี่ล่อชาย ออกมา 2 เวอร์ชั่น และกำลังมีเวอร์ชั่นที่ 3 ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะหล่อนให้สัมภาษณ์ว่า หล่อนถ่ายแบบให้นิตยสารฉบับหนึ่ง แล้วนิตยสารฉบับนั้นเอาภาพคลิปวิดีโอมาลงแพร่กระจายในอินเทอร์เน็ต พร้อมกันนั้นก็ทำสุ้มเสียงว่าไม่พอใจ แต่กลับปิดท้ายว่าทำอะไรไม่ได้ ฟ้องก็ไม่ได้ ที่เธอพูดก็นั้นส่อให้เห็นว่า เธอน่าจะมีการเซ็นสัญญาครอบคลุมไว้แล้ว เธอจึงฟ้องร้องไม่ได้ นั่นเป็นการเปิดช่องให้เห็นว่า แท้จริงเธอก็มีส่วนรู้เห็นการกระทำเช่นนี้อยู่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดที่ปรากฏออกมา

นี่เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่มหาวิบัติ เด็กสาววัยรุ่น ถือเป็นเรื่องยอดฮิตที่จะได้โชว์ของดีของตัวเองในสื่อออนไลน์ โดยคิดว่า เรื่องของกู นมของกู อวัยวะเพศของกู

ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกหล่อนลืมไปว่า หล่อนเป็นเพียงสินค้าในตู้จอคอมพิวเตอร์ ที่นั่งโชว์อวดของดี แสดงท่ายั่วยวน ถึงจุดสุดยอด เพียงเพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้ถูกจ้องมอง” หล่อนกลายเป็นสินค้าทางเพศที่เลือกอะไรไม่ได้ นอกจากแสดงท่ายั่วยวน หล่อนไม่ได้มีอำนาจอันใดในร่างกายของตนเองแม้แต่น้อย หล่อนตกอยู่ในสายตาของเพศชาย และสังคมที่เพศชายมองพวกหล่อนเป็นวัตถุเท่านั้น หล่อนมีค่าไม่ต่างจากการ์ตูนสามมิติเซ็กซี่ในโลกไซเบอร์ที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชาย

หล่อนไม่มีตัวตน ไม่มีหัวใจ ไม่มีวิญญาณ และไม่มีสิทธิใดๆ เพราะหล่อนเป็นวัตถุ

Thursday, May 10, 2007

Be Yourself : Audioslave เป็นตัวเอง ออดิโอสลาฟ

Be Yourself
Artist(Band):Audioslave



Someone falls to pieces
ใครบางคนหล่นสลาย
Sleeping all alone
นอนเดียวดาย
Someone kills the pain
ใครบางคนฆ่าความปวดร้าว
Spinning in the silence
ปั่นป่วนหมุนคว้างอยู่ในความเงียบ
To finally drift away
เพื่อท้ายที่สุด ล่อยลอยเลื่อนลอย
Someone gets excited
ใครบางคนตื่นเต้น
In a chapel yard
อยู่ในสนามของโบสถ์
And catches a bouquet
และรับช่อดอกไม้
Another lays a dozen
ขณะคนอื่นวางดอกไม้นับโหล
White roses on a grave
กุหลาบสีขาวบนหลุมศพ

Yeahhh...

And to be yourself is all that you can do
และ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้
Heyyyy...
To be yourself is all that you can dooo
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Someone finds salvation in everyone
ใครบางคนหาความช่วยเหลือจากคนอื่น
Another only pain
ขณะใครคนอื่นเพียงแค่ทนเจ็บปวด
Someone tries to hide himself
ใครบางคนพยายามซ่อนตนเอง
Down inside himself he prays
จมลงภายในตน เขาภาวนา
Someone swears his true love
ใครบางคนสาบาน ถึงรักแท้
Until the end of time
จนกระทั่งวันสิ้นโลก
Another runs away
ขณะใครคนอื่นกลับวิ่งหนีมัน
Separate or united
แยกออก หรือ รวมกัน
Healthy or insane
สบายดี หรือ บ้า

And to be yourself is all that you can do(all that you can do)
และ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
Yeahhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
Heyyyy...
Be yourself is all that you can do
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Even when you've paid enough
แม้แต่เมื่อคุณชำระมันเพียงพอแล้ว
Been pulled apart or been held up
ถูกดึงกระชากออกเป็นส่วน หรือถูกยกขึ้นมา
Every single memory of the good or bad
ทุกความทรงจำเดียวของความดี หรือ เลว
Faces of luck
ใบหน้าของโชค
Don't lose any sleep tonight
อย่านอนไม่หลับเลย ในคืนนี้
I'm sure everything will end up alright
ฉันมั่นใจ ทุกสิ่งคงจบลง
You may win or lose..
คุณอาจจะชนะ หรือแพ้

But to be yourself is all that you can do
แต่ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้
Yeahhh...
To be yourself is all that you can do
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Ohhhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
ohhhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้

To be yourself is all that you can--
Be yourself is all that you can--
Be yourself is all that you can dooooooohoooo

Wednesday, May 9, 2007

ความรักตายแล้ว Love is Dead



Nothing ever goes right
Nothing really flows in my life
No one really cares if no one ever shares my care
People push by with fear in their eyes in my life
Love is dead, love is dead
The telephone rings, but no one ever thinks to speak to me
The traffic speeds by,
but no one's ever stopped too late
Intelligent friends don't care in the end,
believe me
Love is dead,
love is dead
And plastic people with imaginary smiles
Exchanging secrets at the back of their minds
Plastic people
Plastic people
Nothing ever goes right
Nothing really flows in my life
No one really cares if this horror's inside my head
People push by with fear in their eyes in my life
Love is dead,
love is dead
Love is dead,
love is dead
Love is dead,
love is dead
And all the lies that you've given us
And all the things things that you said
And all the lies that you've given us...
Blow like wind in my head

Thursday, May 3, 2007

ผมของผู้หญิง


ผมในที่นี้มิใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง หากแต่เป็นคำนาม อันหมายถึง เส้นผมบนศีรษะ เหตุใดจึงยกเรื่องผมกับผู้หญิงมากล่าวถึงในที่นี้ ก็เพราะในปัจจุบัน ผม ของผู้หญิง ถูกกระทำให้เป็นอำนาจอย่างหนึ่งของผู้หญิงไปเสียแล้ว ผม กลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ “สวยคืออำนาจ” (รวมทั้งผิวขาวอมชมพู รักแร้ขาวนวล อกอวบอิ่ม ฯลฯ)

ความเชื่อในสังคมไทย ก็ถือว่า ผม เป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง สมัยโบราณ หากหญิงสาวคนไหนชอบเสยผม นั่งหวีผมต่อหน้าผู้ชาย มักจะต้องถูกตำหนิ เพราะการกระทำนั้นแสดงถึงการ “ให้ท่า” หรือแรงกว่านั้นก็คือ หมายถึง “ผู้หญิงขายตัว” ดังนั้นหากมีผม ก็ต้องจัดการเก็บเสียให้เรียบร้อย สมเป็นสตรีไทย แต่เมื่อมาถึงยุคทุนนิยม จึงมีการ “บิด” สัญญะของผมเสียเล็กน้อย จากการแสดงการ “ให้ท่า” ก็เปลี่ยนมาเป็น สร้างความ “เซ็กซี่ “ (แล้วมันต่างกันตรงไหนเนี่ย) สัญญะทางเพศในเชิงลบ ก็กลายเป็นในเชิงบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

บรรดาโฆษณา โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ กำลังทำให้ผมสวย กลายเป็นมาตรฐานของลูกผู้หญิง สวยตรงสลวย ห้ามฟูเป็นรังนก ทำสีก็ได้ยิ่งสวยเก๋ ผมสวยกลายเป็นความเซ็กซี่เหลือแสน และความเซ็กซี่นั่นเองที่คืออำนาจของผู้หญิง
เชื่อไหมว่า เมื่อประมาณปีที่แล้ว มีโฆษณาใหญ่ยักษ์ของยาสระผมยี่ห้อหนึ่ง มีคำโปรยประมาณว่า แม้จะ (นมแบน)เป็นไข่ดาว แต่ก็เซ็กซี่ได้ (เพราะยาสระผมยี่ห้อนั้น) “ผม” น่ะ แทน “นม” ได้เลยทีเดียวล่ะ ตามที่โฆษณาเขาพยายามจะยัดเยียดความเชื่อใหม่ๆ ให้ผู้เสพรับสื่อ

หากมองแบบทุนนิยม ผม เป็นส่วนหนึ่งของผู้หญิง ที่จะทำการตลาดได้ง่าย ผม เป็นส่วนประกอบของร่างกายที่ก้ำกึ่งระหว่าง อวัยวะ ที่ต้องดูแลรักษา และเป็นได้ทั้ง แฟชั่น นำสมัย ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อันนำมาซึ่งมูลค่าทางการตลาดมากมาย ทั่วโลก เพราะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมล้วนแต่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ใช้แล้วหมดไป ต้องซื้อใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้น ทุนนิยม จึงเป็นเหตุสำคัญ ในการ บิด สัญญะของผม ทำให้ให้เซ็กซี่นั้นดูดี ควรค่าแก่ผู้หญิงสมัยใหม่ และเคยสังเกตไหมว่า แต่ละเดือนๆ มีสูตรยาสระผม ครีมบำรุงผม น้ำยาทำสีผม ครีมหมักผม ออกมากันเดือนจะกี่สูตรกี่ยี่ห้อ อัดโฆษณากันทีเป็นร้อยล้านพันล้าน ยาสระผมราคาแพงขึ้นๆ ทุกยี่ห้อ

ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดศาสนาอิสลาม จึงอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับทุนนิยมอย่างชัดเจน ในขณะที่โลกทุนนิยม ส่งเสริมให้ผู้หญิงจงใช้ผมของตนเพื่อการเปิดเผย เป็นอิสระ และเซ็กซี่ แต่โลกของมุสลิมกลับบอกว่า จงเก็บผมของเจ้าเสียให้มิดชิดจากผู้อื่น นักสตรีนิยม มักกล่าวหาว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่กดขี่สตรี และมักยกข้อกำหนดมากมายที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมาอ้าง โดยเฉพาะเรื่องการปกปิดผม ในแง่ที่ว่าเป็นการจำกัดสิทธิของเพศหญิง ซึ่งก็เป็นมุมมองแบบตามทฤษฎีสตรีนิยมล้วนๆ

ตามหลักศาสนานั้น การปกปิดผมของผู้หญิงมุสลิม หรือที่เรามักเรียกว่า คลุมฮิญาบ นั้น คือการคลุมผม โดยปิดผ้าคลุมผมลงมาจนถึงหน้าอก การ “ฮิญาบ” มิใช่หมายถึงแค่การคลุมผม แต่รวมถึงการแต่งกายมิดชิด และการประดับเครื่องประดับตามร่างกาย นั่นหมายถึงการควบคุมร่างกายของเพศหญิงอย่างเข้มงวด ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นหญิงมุสลิม เธอกล่าวด้วยศรัทธาว่า พระเจ้าบอกว่าเส้นผมเปรียบเสมือนไฟรุ่มร้อน หากไม่คลุมผมก็ไม่ต่างจากการเดินเปลื้องผ้า ในหนังสือ เรื่อง มากกว่าผ้าคลุมผม ของ กลุ่มสตรีแห่งทางนำ (หน้า 10) ระบุว่า “หากคุณลองสังเกตผู้หญิงที่แต่งกายมิดชิดด้วยชุดยาวตัวหลวม คลุมฮิญาบปกปิดร่างกาย จะพบว่าพวกเธอไม่ได้ดึงดูดความสนใจเอาซะเลย หนำซ้ำยังถูกมองว่าแต่งตัวไม่ทันสมัยอีก นี่คือสิ่งที่พวกเธอยอมแลกกับการรักษาความบริสุทธิ์สะอาด และป้องกันพฤติกรรม ที่อาจก่อความเดือดร้อนแก่เธอ อาทิ การเข้ามาทำความรู้จัก พูดคุย หรือเกี้ยวพาราสี อักทั้งเพื่อไม้ให้เพื่อนต่างเพศจินตนาการถึงเธอ เมื่อมองเห็นอวัยวะบางส่วน หรือสรีระของพวกเธอฯลฯ” หากอ่านรายละเอียดของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับผมและฮิญาบ สิ่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นชัดเจนก็คือ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่รู้ลึกซึ้งถึงสัญชาตญาณของเพศชายเป็นอย่างยิ่ง และยังรู้ดีเสียด้วยว่า เพศชายนั้นยากแก่การควบคุม จึงหันกลับไปควบคุมเพศหญิงแทน

กลับมาถึงเรื่องผม เมื่อศาสนาอิสลามสั่งให้ปกปิดเส้นผม มองศาสนาอื่นจะพบว่าส่วนใหญ่ในทางศาสนา ผมมันจะต้องถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่บนหัวอย่างเรียบร้อย เช่น พระหรือนางชีในคริสตศาสนา ก็ต้องปกคลุมผมให้เรียบร้อย
พุทธศาสนา ก็สั่งให้ปลงผมเช่นกัน เมื่อบวช เป็นทั้งภิกษุและภิกษุณี รวมถึงชี เป็นการยืนยันว่า ผมนั่นเป็นของฟุ่มเฟือย เป็นวัตถุทางโลกย์

แต่ในระบบทุนนิยม ผมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางโลกย์ สร้างความปั่นป่วนให้สังคม และกระเป๋าสตางค์ของเจ้าของผม ที่ยิ่งกว่านั้น คือ ผม กลายเป็นตัวแทนของความต้องการทางเพศ ในชื่อใหม่ไพเราะว่า เซ็กซี่ เด็กสาวสมัยนี้ขยันเข้าร้านทำผมมากกว่าเข้าห้องสมุด เชื่อไหมล่ะ

สังคมนี้ต้องมีสติเสียที แม้หลายคนจะมองว่าก็แค่เรื่องของผม ที่ยังไม่มีใครใส่ใจจริงจัง แต่มันก็แค่เรื่องของผม ที่ถูกปั่นให้มีคุณค่ามากเกินความเป็นจริง ต้องรู้ให้ทันกันหน่อย



Tuesday, April 24, 2007

ทฤษฎีเมียน้อย



ข่าวคราวของนายแพทย์ท่านหนึ่ง ยังไม่ทราบว่าจะจบแบบไหน แม้ว่าจะมีการยืนยันแล้วว่านายแพทย์ท่านนั้นมีอาการทางจิต ซึ่งก็เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่ต้องดำเนินการกันต่อไป แต่เอาเข้าจริง ถามว่า ประเด็นที่คนทั่วไปสงสัยและติดตามข่าว เอา..เชื่อขนมกินได้ ร้อยละ 70 ไม่ได้สนใจอยากรู้ว่า นายแพทย์จะเป็นโรคจิตประเภทไหน ไม่ว่าจะหงุดหงิด หรือหงุดเงี้ยว แต่สนใจใคร่รู้ว่า หญิงสาวมือที่สามนั้น เป็นใครมาจากไหน และโผล่มาอย่างไร

นางอันเป็นที่รัก นางนั้นไม่เคยเอ่ยว่าตนเองดำรงสถานะไหน เพียงแต่บอกว่า เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจลึกซึ้ง แต่ลักษณะการแสดงออก บ่งชี้ชัดเจนให้บรรดาแม่บ้านและชาวร้านชาวตลาดฟังธงเลยว่า “เมียน้อย” ในขณะที่หนังสือพิมพ์ ใช้คำแทนตัวเธอในการพาดหัวว่า “กิ๊ก” ซึ่งมีความหมายอ่อนกว่าคำว่าเมียน้อย ในทำนองว่า มากกว่าเพื่อนแต่มิใช่แฟน

การแสดงตัวของหล่อนอย่างชัดเจนนี้เอง ที่เรียกกระแสชมรมคนรักเมียหลวงให้ออกมาประนามหล่อนกันอย่างอึกทึกครึกโครม นี่เป็นสังคมที่กระแสเมียหลวงเป็นกระแสหลัก

ในที่นี่เราจะพูดกันถึงเรื่อง “วิธีคิด” แบบเมียน้อยเมียหลวง มิได้พูดถึงในเชิงจริยธรรมใดๆ ดังนั้นก็อาจจะล่อแหลม ฉันอาจจะโดนข้อหาเข้าข้างเมียน้อยได้ จึงขอออกตัวก่อนว่า ฉันก็เป็นเมียหลวงนะท่าน และก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเมียน้อยพอๆ กันนั่นล่ะ

แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดก็คือ ไอ้เมียน้อยเมียหลวง เหตุใดจึงต้องแบ่งข้างจงเกลียดจงชังกัน แย่งตัวผู้ เอ๊ย ผู้ชาย กันอย่างเอาจริงเอาจัง พูดแบบเดิมๆ ก็คือ เราอยู่ในสังคมแบบชายเป็นใหญ่ เราจึงยึดถือที่เพศชายเป็นหลัก การได้เป็น “เมีย” จึงเป็นสถานะสำคัญของผู้หญิงไทย ได้ผัวดีก็เหมือนถูกหวย ได้รับการยกย่องมีสถานะทางสังคม เรียกว่า ผัว เป็นหน้าตาของเมีย ดังนั้นการได้ผัว ที่มีเมียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ต้องเปิดสงครามแย่งผัวกันเสียหน่อย เข้าข่ายหญิงเหยียดหญิง ทำลายพวกเดียวกันเอง

มองแบบพวกโรคจิตคิดมาก ทฤษฎีสมคบคิด ก็ต้องบอกว่า ขบวนการของเพศชายเข้มแข็งในการสร้างบรรทัดฐานเรื่องเมียน้อยเมียหลวงขึ้นมา ก็เพื่อทำลายขบวนการเพศหญิง จะได้ไม่อาจลุกขึ้นมาล้มล้างผู้ชาย เพราะมัวแต่แก่งแย่ง ครอบครองเพศชาย ไม่มีเวลามายึดครองโลกอะไรหรอก แล้วเพศชายก็จะควบคุม “แนวความคิด” ทั่วโลกกันต่อไป (โอเวอร์เหมือนหนังซุปเปอร์แมนมากๆ เลยค่ะ) แล้วก็ให้รางวัลเพศหญิงเสียหน่อย หากเป็นเมียที่ดี หรือเป็นเพศหญิงที่อยู่ในกรอบของเพศชาย ก็มีรางวัลไปบ้าง ตำแหน่งบ้าง มีส่วนร่วมในทางการเมืองบ้าง มีหน้าตาทางสังคมบ้าง และแน่นอนมีเงินทองทรัพย์สินด้วยจากการทำงานหนักโดยไม่ไปแย่งตำแหน่งผู้นำของเพศชาย

เมียที่ดี ก็มีลักษณะที่เข้าข้างเพศชายเต็มๆ เมียหลวงที่ดี คือเมียหลวงที่ไม่ถามถึงเมียน้อย และเมียน้อยที่ดีก็คือ เมียน้อยที่ไม่ไปบุกบ้านเมียหลวง
ย้ำกันอีกว่า นี่เป็นการว่าในเชิงทฤษฎี เพราะฉะนั้น การที่ ภรรยาที่มาทีหลังเกิด จากการรักผู้ชายที่มีภรรยาแล้วอย่างมาก และยอมทุกอย่างด้วยความรัก ก็อธิบายตามทฤษฎีได้ว่า “เข้าทาง” ความต้องการของเพศชาย นั่นคือ ยินยอมอยู่ใต้กรอบเมียน้อยและเมียหลวงที่ดี (ความรักไม่อาจอธิบายเป็นทฤษฎีได้)

แต่อย่างที่บอก ผัวย่อมเป็นหน้าตาของเมีย ดังนั้น หากแม้เป็นเมียน้อย ฝ่ายหญิงก็ยอมแหกกฎเมียน้อยที่ดีในวันหนึ่ง เพื่อจะประกาศให้โลกรู้ว่า อย่างเดี๊ยน ก็มีผัวดีๆ เหมือนกัน แม้มันจะมีเมียแล้วก็เหอะ

ที่สำคัญ ตำแหน่งเมียน้อย ย่อมกดดันให้ผู้หญิงที่รับตำแหน่งนั้น ต้องแสดงตัวออกมาสักวัน แม้จะมีผัวเลี้ยงอย่างดี แต่ขาดไร้ซึ่งหน้าตาทางสังคม ต่างจากเมียหลวงที่มีความมั่นคงทางสถานะมากกว่า จึงมีส่วนสำคัญในการกดดันให้เมียน้อยทำอะไรที่ “หวือหวา” กว่าเมียหลวง และมักเป็นเหตุให้เกิดเรื่องเกิดราวมากมาย อย่างที่จะเห็นในหนังสือพิมพ์ทั่วๆไป ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ความผิดเรื่องเมียน้อยนี่ต้องยกให้ผู้ชายไปเต็มๆ ใครใช้ให้หาเหามาใส่หัว แล้วก็ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ล่ะ
กรณีเมียน้อยของนางอันเป็นที่รัก ประเด็นสำคัญคือ การที่หล่อนเป็นเมียน้อย หล่อนจึงถูกยัดเยียดความผิดให้ในสถานะเมียน้อย หล่อนตกเป็นตัวแทนของผู้หญิงไม่ดี แย่งผัวชาวบ้าน (ทั้งที่หล่อนพยายามอธิบายว่าหล่อนได้รับความเมตตาจากเพศชายผู้นั้นมากมายขนาดไหน) ถูกขุดคุ้ยประวัติชาติตระกูล ถูกขุดเอารูปถ่ายสมัยหน้าตาอย่างกับอึ่งมาตีแผ่เผยแพร่ ชีวิตของหล่อนแม้ยิ้มหน้าระรื่น จะมีใครคิดไหมว่า หล่อนก็อาจจะอกตรมอยู่ภายใน หล่อนไม่มีความสุขหรอก เพราะหล่อนกำลังเป็นจำเลยของสังคม

จำเลยของสังคมที่เทิดทูนเพศชาย
เห็นไหม ว่าผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด

Thursday, April 12, 2007

จุดขายข่าว สิทธิในการโป๊ และทฤษฎีการสมคบคิด






















จุดขายข่าว สิทธิในการโป๊ และทฤษฎีการสมคบคิด
ที่มาภาพ จาก http://www.matichon.co.th/news_relate/gallery.php?reid=20070213082616

ข่าวที่ฮือฮาไปไม่กี่วันนี้ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวสุดขีดของดาราหน้าตาดีมั่งไม่ดีมั่ง ดังมั่งไม่ดังมั่ง ในงานสุพรรณหงส์ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ “ความโป๊เปลือย” ถูกนำมา “ฉะ” กันอีกรอบ
ดาราคนหนึ่ง (ที่ไม่เคยเห็นหนังของเธอเลย ให้ตายเหอะ) ปีที่แล้วก็ตกเป็นข่าวท่อนบนหลุด มาปีนี้ท่อนล่างโผล่ ส่วนนางเอกคนหนึ่งที่หน้าตาจัดว่าสวย โดนประณามเพราะเสื้อแสนบาง ที่ปิดเต้าได้ซีกเดียว ส่วนที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นดาราที่อุตสาห์พ่วงดีกรีนักศึกษามหาวิทยาลัย มาในชุดที่คิดไม่ออกว่า ไปงานกลางคืน หรือไปนั่งในตู้ (ตู้เย็นมั้ง)

เซ็กส์ เป็นจุดขายของสื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ รวมทั้งวิทยุ ทั้งการข่าว การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ เพราะเซ็กส์ เป็นจุดขายที่กระตุ้นได้ง่ายที่สุด ก่อกระแสความอยากรู้อยากเห็นไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งฉาวยิ่งดัง ยิ่งเปิดนิดยิ่งอยากดูอีกหน่อย ดังนั้น หากแค่เห็นเจ้าหล่อนเดินมาแต่ไกลจากปากทางเข้างานสุพรรณหงส์ ก็บอกได้ง่ายๆ ว่า พวกหล่อนมีจุดขายอยู่กับตัว ทั้งท่อนบนทอนล่างทีเดียว

ถามว่า พวกหล่อนทำผิดหรือไม่ ที่แต่งตัวอื้อฉาวคาวโลกย์ขนาดนั้น ถ้าอ้างแบบ “เฟมฯๆ” ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่า “ร่างกายของฉันก็คือร่างกายของฉัน และสิทธิทั้งมวล อยู่ที่ตัวฉัน” พวกหล่อนอาจจะเป็นเฟมินิสต์สุดขั้วที่ต้องการประกาศว่า ผู้หญิงมีสิทธิ์ในการใช้เรือนร่างของตัวอย่างเต็มที่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่คำตอบของดาราคนหนึ่ง ที่ระบุว่า
“ค่ะอยากดัง จริงๆ นักแสดงและดาราที่เข้ามาตรงนี้ทุกคนมีจุดมุ่งหวังของชีวิตว่า มาอยู่ตรงนี้ก็อยากทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของตัวเอง นิวยอมรับว่าอยากดัง นิวรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่อยากบอกกับสื่อ และผู้บริโภค แต่นิวรู้สึกว่าเราตะโกนออกไปไม่มีใครได้ยินเสียงของเราเลย แต่วันนี้ทุกคนได้ยินเสียงนิวแล้วก็อยากจะบอกว่า อย่ามองแต่ความเซ็กซี่ของนิว ช่วยมองที่ความสามารถ หันกลับมามองเรื่องการแสดงและบทบาทเป็นอย่างไร “ (อ้างจาก ข่าวสดออนไลน์ http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0101140250&day=2007/02/14§ionid=0301)

นี่เป็นคำพูดที่พุ่งเป้าไปสู่สื่อมวลชนโดยเฉพาะ หญิงสาวคนหนึ่งพยายามจะบอกว่า หากหล่อนอยู่ในกรอบเกณฑ์ หล่อนไม่ได้รับความสนใจจากสื่อ แต่เมื่อใดที่หล่อนขายเซ็กส์ สื่อจะตะครุบหล่อนทันที ดังนั้น การที่หล่อนโชว์เนื้อหนัง ก็เพราะหล่อนต้องการให้สังคม (แบบชายเป็นใหญ่) หันมามองความสามารถของหล่อน สื่อมวลชนจึงเป็นจำเลยสำคัญในกรณีนี้ สื่อมวลชนทำหน้าที่ดุจพระเจ้าที่จะเลือกนำผู้หญิงคนใดมากล่าวถึง ขึ้นหน้าหนึ่ง พวกหล่อนที่เป็นเพียงเพศรองที่ต้องแสดงตัวให้ถูกเลือกจึงไม่มีวิธีอื่น นอกจากโชว์เนินเนื้อเท่านั้น สื่อเป็น “ผู้ดู” ทั้งนักข่าว ช่างภาพ และเป็น “ผู้เลือก” ประเมินค่า ตีราคาพวกหล่อน รวมทั้งเป็นคนสำคัญในการนำพวกหล่อนมาขายอย่างถูกต้อง ด้วยการขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ในขณะเดียวกันก็ยัดเยียดข้อหาดาวยั่วสวาทให้พวกหล่อนเสร็จสรรพ อีกทั้งไปแสวงหาคำประเมินคุณค่าอีกมากมายมาตอกย้ำความเป็นดาวยั่วของพวกหล่อน สายตาของสื่อเป็นตัวแทนของสายตาหื่นกระหายของระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่
ใช่ พวกหล่อนมีสิทธิจะแต่งกายอวดเรือนร่าง แต่หล่อนลืมคิดไปว่า พวกหล่อนอยู่ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ และเนื้อตัว ร่างกายของพวกหล่อน ถูกจ้องมอง ถูกตีค่า จากสายตาของพระเจ้าสื่อมวลชน ดังนั้นเมื่อหล่อนจึงทำตัวเป็น “ผู้ถูกมอง” อย่างที่สังคมแบบชายเป็นใหญ่ต้องการ นั่นคือ โชว์เนินเนื้อให้เต็มที่ ก่อนที่จะแสดงบท “เด็กสาวถูกลงโทษ” ด้วยการออกรายการโทรทัศน์ ร้องห่มร้องไห้สำนึก หรือโร่ชี้แจงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งหมดทั้งมวล คือภาพบทบาทของหญิงสาวยั่วสวาทสำนึกผิด ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชาย (ไม่ใช่แต่เสี่ยเจียงที่เป็นผู้ชายเป็นใหญ่ แต่สังคมนี้ คือผู้ชายเป็นใหญ่) เราจึงเห็นปรากฏการณ์ดังที่เกิดขึ้นในจอโทรทัศน์ หรือหน้าหนังสือพิมพ์

แต่จากเหตุการณ์นี้ ใครบ้างที่ได้ประโยชน์ หญิงสาวเป็นเพียงหมากเดียว ในเกมของผลประโยชน์ (แม้ว่าหล่อนจะคิดว่าหล่อนได้ประโยชน์จากการนี้ เพราะสื่อมวลชนหันมามองพวกหล่อนเป็นตาเดียว และหล่อนก็มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ และได้ออกข่าวช่วงไพรมไทม์อย่างน้อย 3 วันติดกัน)
อันดับแรก สื่อมวลชน ได้มีข่าวฉาวขายต่อเนื่องไป 3 วัน จากกรณีของหล่อน ไปสู่การพยายามจะโทษว่าพวกหล่อนเป็นต้นเหตุของปัญหาสังคม แม้จะมีความคิดเห็นตรงข้ามบ้าง แต่ก็เป็นเพื่อรักษาสมดุลของข่าว ตามทฤษฎีข่าวเท่านั้น) เพื่อให้เกิดกระแสโต้เถียงกันบ้าง เป็นการขายข่าวได้ต่อเนื่องแตกไปอีกหลายประเด็น (รวมถึงบทความนี้ด้วย)

อันดับที่สอง หนังชื่อพิลึกๆ ทั้งหลายที่หล่อนร่วมแสดง กลับได้รับการพูดถึงซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่ต้องทำการตลาด ไม่ต้องซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์ขายดีอันดับประเทศ ไม่ต้องซื้อเวลาข่าวโทรทัศน์ ดาราร่วมแสดงได้ออกรายการโดยไม่ต้องร้องขอ รายการคุยข่าวทั้งหลายเอ่ยถึงโดยไม่ต้องเสียเงินจ้าง ดังล้ำหน้าหนังไปอีก ปลุกกระแสได้น่าตื่นใจโดยยังไม่ได้เปิดตัว
นี่อาจเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ที่ทำให้พวกหล่อนต้องยอมเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ด้วยคำสัญญาเบื้องหลังว่า พวกหล่อนจะดังในชั่วข้ามคืน เป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนไม่น้อย เพราะดาราทุกวันนี้ล้นจอจนเกิดยากเกิดเย็นเหลือเกิน

มีแต่พวกหล่อนเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ ในขณะที่ทุกฝ่ายฉกฉวยทุกอย่างจากร่างกายของหล่อน
แล้ว...คนที่หากินกับผู้หญิงขายเรือนร่าง เขาเรียกว่า “แมงดา” มิใช่หรือ??

Sunday, March 18, 2007

ข้าต่อต้านสงคราม ทุกรูปแบบ



The Cranberries - Zombie
"Zombie"

Another head hangs lowly,
Child is slowly taken.
And the violence caused such silence,
Who are we mistaken?

But you see, it's not me, it's not my family.
In your head, in your head they are fighting,
With their tanks and their bombs,
And their bombs and their guns.
In your head, in your head, they are crying...

In your head, in your head,
Zombie, zombie, zombie,
Hey, hey, hey. What's in your head,
In your head,
Zombie, zombie, zombie?
Hey, hey, hey, hey, oh, dou, dou, dou, dou, dou...

Another mother's breakin',
Heart is taking over.
When the vi'lence causes silence,
We must be mistaken.

It's the same old theme since nineteen-sixteen.
In your head, in your head they're still fighting,
With their tanks and their bombs,
And their bombs and their guns.
In your head, in your head, they are dying...

In your head, in your head,
Zombie, zombie, zombie,
Hey, hey, hey. What's in your head,
In your head,
Zombie, zombie, zombie?
Hey, hey, hey, hey, oh, oh, oh,
Oh, oh, oh, oh, hey, oh, ya, ya-a...

Saturday, March 17, 2007

ข้า ต่อต้านสงครามทุกรูปแบบ

ข้า ต่อต้านสงครามทุกรูปแบบ




green day - when september ends
"Wake Me Up When September Ends"

Summer has come and passed
The innocent can never last
wake me up when september ends

like my fathers come to pass
seven years has gone so fast
wake me up when september ends

here comes the rain again
falling from the stars
drenched in my pain again
becoming who we are

as my memory rests
but never forgets what I lost
wake me up when september ends

summer has come and passed
the innocent can never last
wake me up when september ends

ring out the bells again
like we did when spring began
wake me up when september ends

here comes the rain again
falling from the stars
drenched in my pain again
becoming who we are

as my memory rests
but never forgets what I lost
wake me up when september ends

Summer has come and passed
The innocent can never last
wake me up when september ends

like my father's come to pass
twenty years has gone so fast
wake me up when september ends
wake me up when september ends
wake me up when september ends

ข้าพเจ้าต่อต้านสงครามทุกรูปแบบ

ข้าพเจ้าต่อต้านสงครามทุกรูปแบบ
ข้า ไม่ต้องการสงคราม





Guns N' Roses - Civil War
Civil War

Guns And Roses - Civil War




"What we've got here is failure to
communicate.
Some men you just can't reach...
So, you get what we had here last week,
which is the way he wants it!
Well, he gets it!
N' I don't like it any more than you men."

Look at your young men fighting
Look at your women crying
Look at your young men dying
The way they've always done before

Look at the hate we're breeding
Look at the fear we're feeding
Look at the lives we're leading
The way we've always done before

My hands are tied
The billions shift from side to side
And the wars go on with brainwashed pride
For the love of God and our human rights
And all these things are swept aside
By bloody hands time can't deny
And are washed away by your genocide
And history hides the lies of our civil wars

D'you wear a black armband
When they shot the man
Who said "Peace could last forever"
And in my first memories
They shot Kennedy
I went numb when I learned to see
So I never fell for Vietnam
We got the wall of D.C. to remind us all
That you can't trust freedom
When it's not in your hands
When everybody's fightin'
For their promised land

And
I don't need your civil war
It feeds the rich while it buries the poor
Your power hungry sellin' soldiers
In a human grocery store
Ain't that fresh
I don't need your civil war

Look at the shoes your filling
Look at the blood we're spilling
Look at the world we're killing
The way we've always done before
Look in the doubt we've wallowed
Look at the leaders we've followed
Look at the lies we've swallowed
And I don't want to hear no more

My hands are tied
For all I've seen has changed my mind
But still the wars go on as the years go by
With no love of God or human rights
'Cause all these dreams are swept aside
By bloody hands of the hypnotized
Who carry the cross of homicide
And history bears the scars of our civil wars

"WE PRACTICE SELECTIVE ANNIHILATION OF MAYORS AND GOVERNMENT OFFICIALS
FOR EXAMPLE TO CREATE A VACUUM
THEN WE FILL THAT VACUUM
AS POPULAR WAR ADVANCES
PEACE IS CLOSER" **

I don't need your civil war
It feeds the rich while it buries the poor
Your power hungry sellin' soldiers
In a human grocery store
Ain't that fresh
And I don't need your civil war
I don't need your civil war
I don't need your civil war
Your power hungry sellin' soldiers
In a human grocery store
Ain't that fresh
I don't need your civil war
I don't need one more war

I don't need one more war
Whaz so civil 'bout war anyway

Friday, February 23, 2007

เรื่องโป๊เปลือย กับลัทธิสตรีนิยม

เรื่องโป๊เปลือย กับลัทธิสตรีนิยม
(ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสาร คนมีสี ปีที่ 2 ฉ.ที่ 40 กพ. 2550)



คำว่า สตรีนิยม กลายเป็นที่ยอมรับ และรับรู้กันอย่างดีแล้วในสังคมไทย (แม้ว่าจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ตาม) และถูกใช้เป็นเครื่องมือหนึ่ง ในการตีความปรากฏการณ์ทางสังคมหลายรูปแบบ โดยเฉพาะสื่อศิลปะ ทั้งงานศิลปะและงานวรรณกรรม
ผลงานโดดเด่นที่เสียดแทงลูกตาสังคม ของศิลปินหญิงและนักเขียนหญิงกลุ่มที่ถูกตีความว่าได้รับอิทธิพลแนวสตรีนิยม นั้น มักแสดงออกมาในรูป ภาพเปลือย ภาพอวัยวะของผู้หญิง และงานวรรณกรรมก็มักเป็นงานโป๊เปลือย เปิดเผยความคิด และภาพ (ผ่านตัวอักษร) การร่วมเพศอย่างชัดเจน งานกลุ่มนี้มักถูกเรียกว่า งานอีโรติค

แล้วทำไม ศิลปิน และนักเขียน ต้องเลือกการแสดงออกแบบ อีโรติก

ก่อนจะเข้าเรื่อง ต้องขออธิบายก่อนว่า อิทธิพลจากแนวคิดสตรีนิยม มิใช่ทำให้ศิลปินหญิงและนักเขียนหญิงมุ่งเสนองานโป๊เปลือย งานโป๊ๆ บางอย่าง ก็ไม่ได้สำแดงความเป็นสตรีนิยมอะไรเลย และก็มีงานหลายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องโป็ แต่ก็แรงกระแทกกะโหลกผู้ชมหรือผู้อ่านงานจนสมองชา (คงต้องว่ากันทีหลัง)

การนำเสนอเรื่องโป๊หวาม มิใช่เพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อสังคมเปิดเผยเพราะโลกไร้พรมแดน ทว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ และเกิดขึ้นพบเห็นเป็นส่วนหนังของวงจรชีวิต ที่สักวันหนึ่ง เมื่อศิลปินมีผู้หญิงมากขึ้น ศิลปินหญิงและนักเขียนหญิง ย่อมนำเสนอเรื่องใกล้ตัวนี้ออกมาเป็นผลงาน

หากจับตาจ้องไปที่งานศิลปะ เราจะมองเห็นผลงานเหล่านี้อย่างชัดเจน และเข้าใจได้ง่ายกว่า เช่น ผลงานของ พินรี สัณฑ์พิพักษ์ ส่วนใหญ่มักเป็นภาพนม และเรือนร่างผู้หญิง ผู้ดูผลงานจะมองเห็นมิติลึกของประเด็นศิลปะอย่างชัดเจน ว่าแน่นอน ศิลปินมิได้นำเสนอภาพนมแบบยั่วยุไปในทางกามารมณ์ แต่กำลัง เสนอภาพนมอันเป็นสัญญะของเพศ หรือภาพถ่ายของ ณัฐนลิน น้อยไม้ ชุดผู้หญิงไม่มีหัวนม ที่ชื่อชุดภาพถ่ายบ่งบอกความหมายในเรื่องเพศ หรือชุด นาทีแห่งความเงียบงัน เน้นแสดงเรือนร่างของเพศหญิง คู่กับดอกไม้ ซึ่งสามารถตีความหมายเชิงสัญญะได้

แต่สำหรับงานเขียนนั้น ผู้อ่านบางคนอาจจะตั้งคำถามว่า จะแยกงานจำพวก กระตุ้นต่อมอารมณ์ (ปลุกใจเสือป่า) กับงานเขียนโป๊เปลือยที่แสดงแนวคิดสตรีนิยม ได้อย่างไร

ก่อนอื่นคงต้อง (พยายาม) อธิบาย ให้ผู้อ่านเข้าใจว่า งานเขียนแบบโป๊เปลือย มีหลากหลายประเภท และนักเขียนหญิงที่เขียนงานโป๊เปลือยก็อาจจะไม่ได้แสดงความคิดเชิงสตรีนิยมก็ได้ เช่น งานกลุ่มที่เรียกว่า นิยายพาฝัน หรือนิยายโรมานซ์ ส่วนใหญ่มีโครงเรื่องเน้นฉากโป๊เปลือยร่วมรัก ประเภทเด็กสาวโหยหาเจ้าที่ดินเพศชายให้มาร่วมรัก สุดท้ายลงเอยด้วยความสมหวังในรัก (หรือเซ็กส์) ปัจจุบัน โครงเรื่องประเภทนี้ขยายกลุ่มทางการตลาดมากขึ้น โดยลดระดับอายุลง เกิดเป็นแนวเรื่องที่เรียกกันว่า ชิกลิท (chick-lit ย่อมาจาก chick literature ที่เน้นเรื่องรักวัยรุ่น แต่มักแทรกฉากมีเซ็กซ์ลงไปด้วย) นักสตรีนิยมฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะพวก post-modern (พยายาม) ตีความวรรณกรรมโป๊เปลือยโจ๋งครึ่มประเภทนี้ว่า เป็นการสำแดงวิธีคิดแบบสตรีนิยม นั่นคือ เปิดเผยแง่มุมเรื่องเพศในมุมมองของฝ่ายหญิง

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์โครงเรื่องกันอย่างละเอียด วิธีตีความของนักสตรีนิยมฝั่งตะวันตกไม่น่าจะถูกทั้งหมด ดังที่กล่าวมา เพราะเรื่องประเภทนี้บางเรื่องก็อาจตีความได้เป็นเพียงเรื่องระบายความใคร่ธรรมดา ด้วยโครงเรื่องที่ให้เพศหญิงตกเป็นเบื้องล่างตัวละครเพศชาย แม้กระทั่งเรื่องความต้องการทางเพศ และไม่ได้นำเสนออะไรเลยที่แสดงว่า เป็นความต้องการแท้จริงของเพศหญิง เป็นเพียงเรื่องรักในโครงสร้างแบบสังคมชายเป็นใหญ่ที่มีฉากร่วมรักชัดแจ้งกว่าปกติเท่านั้น

หากจะให้มองอย่างวิเคราะห์ อาจจะต้องมองรายละเอียดในแต่ละเรื่องลงไป อีกทั้งค้นให้ลึกถึงวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ว่าวรรณกรรมโป๊เปลือยเรื่องใดมีมุมมองแบบสตรีนิยม

นักเขียนหญิงของไทยคนที่ทำให้วงการวรรณกรรมตื่นตระหนก คงต้องกล่าวถึง สุจินดา ขันตยาลงกต นักเขียนหญิงที่มีผลงานเรื่องแนวอิโรติก ปรากฏมากมายในช่วง พ.ศ. 2535 – 2540 และมีหนังสือรวมเรื่องสั้นรวมเล่ม 5 เล่ม โดยสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ คือ ใจดวงเปลี่ยว (2535) เหมือนระบำดอกนุ่น (2536) ปาร์ตี้ (2538) ภาพร่างเหมือนจริง (2540) เรื่องสั้นคัดทิ้ง (2540)
งานเขียนของ สุจินดา เน้นเรื่องเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงเป็นแนวทางการเขียนหลัก นำเสนออารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก ความใคร่ เพศสัมพันธ์ ผ่านมุมมองของเพศหญิง ที่มีลักษณะเป็นผู้นำในการมีเพศสัมพันธ์ ในเรื่องสั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ชัดเจน บรรยายรายละเอียดอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะไม่ถึงหยาบคาย แต่ก็ไม่ใช่วิธีแบบเดิมที่เน้นการสร้างอุปมาอุปมัยเพื่อสร้างความสุภาพในวรรณกรรม เป็นแนวทางการเขียนที่ท้าท้ายวงการวรรณกรรมมาก เพราะไม่มีนักเขียนหญิงคนใดที่นำเสนอเรื่องในแนวทางเช่นนี้ชัดเจนเป็นแบบเดียวอย่างสุจินดา เป็นความพยายามของผู้เขียนที่ต้องการให้เรื่องเกี่ยวกับเพศเป็นเรื่องที่ธรรมดา และไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ดังที่กล่าวไว้ว่า

“สังคมไทยควรเลิกปิดบังเรื่องเพศได้แล้ว เพราะยิ่งปิดบังให้มันลึกลับจะทำให้เด็กอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น” (สุจินดา ขันตยาลงกต, คำนำ ปาร์ตี้ , 2538, หน้า 17)

อย่างไรก็ตาม วิธีการเขียนของสุจินดา เที่ยบได้กับงานของนักเขียนหญิงเยอรมันที่นำเสนอเรื่องเพศอย่างชัดแจ้ง (ดูศิริรัตน์ ทวีเลิศนิธิ, 2538) เหมือนนักเขียนต้องการให้ผู้อ่านยอมรับว่า สิ่งที่กำลังเขียนถึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น

เช่นในเรื่องสั้นชื่อ พิกุลแกมแก้ว เล่าถึงคู่สัมพันธ์ที่มีรสนิยมต่างกันในการมีเพศสัมพันธ์

แล้วชายหนุ่มในจินตนาการก็สวมเข้ามา เป็นร่างเดียว เธอกอดรัดเขาแน่นเข้า เพื่อไม่ให้เขาเปลี่ยนท่า...ความรักของเธอเฉิดฉาย จิตวิญญาณโลดเถลิง ปีติซาบซ่าน ความรู้สึกเปล่งประกาย นี่คือการร่วมรักที่เธอไม่เคยสัมผัส เธอร่วมรักกับใครนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ความรู้สึกที่ตอบสนองเป็นหนึ่งเดียว วิญญาณเดียว ท่วงท่าเดียว จังหวะเดียว เป็นการร่วมรักที่ไม่ใช่เพียงการสำเร็จความใคร่บนร่างของเขาอย่างที่เคยเป็นมา (จาก ใจดวงเปลี่ยว ,พิมพ์ครั้งที่ 4,2539, หน้า 98)

หรือในเรื่องสั้นชื่อเดียวกับเล่ม ใจดวงเปลี่ยว
ความเอยความเปล่าเปลี่ยวที่เคยมี ความอยากลิ้มชิมรส ปรารถนาที่ไม่เคยเต็มอิ่ม ใกล้สนิทแต่เหมือนไม่เคยได้สัมผัส เพียงอีกนิดน่ะ แต่ก็ยังไม่เคยแตะ ถวิลหา อารมณ์เหล่านี้ ห่างหาย ไกลเลื่อน เหมือนไม่จริง แต่ที่อยู่ตรงนี้ ที่รู้สึกอยู่นี่ ตรงอ้อมขาไหวระริก นี่ซิ...ความจริง (จาก ใจดวงเปลี่ยว ,พิมพ์ครั้งที่ 4,2539, หน้า 83)

ความสำคัญของสุจินดา ต่อการเขียนงานวรรณกรรม คือ สุจินดา เน้นการสร้างงานแบบเดียว หรือพูดง่ายๆ เน้นการเขียนเรื่องโป๊เปลือย แต่การโป๊เปลือยในเรื่องของสุจินดา เน้นการสร้างมุมมองใหม่ในเรื่องเพศ นำเสนอความคิด ปละการโต้แย้งสังคมแบบชายเป็นใหญ่ ผ่านตัวละครหญิง นับเป็นความโดดเด่นอย่างยิ่ง แต่ที่น่าเสียดายคือ หลังจากขึ้นถึงขีดสุดของเธอ เมื่อเธอย้ายไปใช้ชีวิตต่างประเทศจากนั้นกลับไม่มีงานเรื่องสั้นแบบนี้ออกมาอีก แต่เธอก็พัฒนาไปเขียนนวนิยาย ที่นำเสนอประเด็นของผู้หญิงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สุจินดา มิใช่คนแรก และคนเดียว ที่เขียนเรื่องโป๊เปลือย ที่นำเสนอประเด็นแบบลัทธิเฟมินิสม์ เพียงแต่เธอเป็นคนที่ทำให้เกิดการถกถียงกันในวงกว้าง มีทั้งผู้ชื่นชม และผู้ก่นด่า มากมายคนหนึ่งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา


ภาพเปิด
fe04 ภาพร่างเหมือนจริง สุจินดา ขันตยาลงกต 2540
คลิกเข้าไปจะเจอภาพ
fe01 ผลงานของพินรี สัณฑ์พิทักษ์ (The Trio, 2539)

Saturday, February 17, 2007

สวย สวย สวย สวย สวย ซ้วย ซ้วย สวย

(ภาพนี้ไม่ได้ถ่ายเอง แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดโหลดมาไว้ในเครื่อง ขออภัยที่ไม่สามารถระบุที่มาได้)

เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศไทยช่างยิ่งใหญ่ออกหน้าออกตา ในฐานะประเทศเจ้าภาพการประกวดนัง เอ๊ย นางงามจักรวาล ที่ต้องบันทึกไว้เป็นผลงานระดับโลก โอ้อวดกันไปอีกสามปี ห้าปี โหย…อะไรจะปานนั้น …นอกจากเราจะได้เป็นเมืองแห่งแฟชั่น…(ที่ยกเลิกไปแล้ว ก๊าก) แล้วเรายังได้เป็นเมืองแห่งนางงามกลางเมืองอีกด้วย… ไม่ยินดีวันนี้แล้วจะไปยินดีวันไหนได้อีก

เรื่องการประกวดนางงาม เราก็เคยคุยกันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาชื่นชมความงามกันอีกที ด้วยการยกเวทีขึ้นมาไว้ที่หน้ากระดาษ
สมมติว่าเราคือคนดู นั่งหน้าเวทีเลย เอาใกล้ๆ เห็นทุกร่อง เอ๊ะ ไม่ดี เอากำลังดี เห็นบนเห็นล่าง น่าน…ยังง้าน เงยหน้านิด นั่นไง สาวงามที่มาประกวดกันกลางเมือง เขาเดินกันมานั่นแล้ว บิดซ้าย บิดขวา หุบนิด อ้าหน่อย (หมายถึงปากเจ้าค่ะ) หมุน กิ๊บ กิ๊ว ผ่านไปหนึ่ง มาอีกหนึ่ง…เหมือนเดิม….
สวยไหมล่ะ สวยในสายตาของคุณ หรือสวยในสายตาของใคร หรือสวยแบบไหน หรือสวยแบบที่ใครต้องการ
ถ้าถามฉัน สวยในสายตาของฉันก็คือ สวยเท่ เดินยังกะจะมาต่อยใคร ยกไหล่นิดนึง หน้าเข้ม ตาคม นมแบนเหมือนเคต มอสส์ (Cate Moss- ต้นตำรับนมแบนไม่สนใจใคร [โว้ย]) แต่นี่ย่อมไม่ใช่สวยในสายตาของคณะกรรมการนางงามจักรวาลแน่นอนล่ะ นี่เขาเรียกทัศนะส่วนบุคคล
แต่สวยในสายตากรรมการ มันคือสวยในมาตรฐานใคร

นอกจากประกวดนางงามจักรวาล มีใครเคยได้ดูรายการ ประกวดนางงามหงส์ (Swan) ทางช่องยูบีซีบ้าง หากใครชอบดูการประกวดนางงาม ผสมผสานรายการเรียลลิตี้โชว์ล่ะก็ล่ะก็ ขอแนะนำว่า ดูรายการนี่ดีกว่า โคตรมันเลย (ไอ้พวกบิ๊กบราต้งบราเตอร์ตกเวทีไปโน่นเลย) ฉันขอเรียกว่า ประกวดสุดขั้ว ถอนรากถอนโคน เพราะเป็นการให้ผู้สมัครจากทางบ้านประกวดกันสวย ก็ไม่ว่าพวกเธอเหล่านั้นจะ แก่ ย้วย ยาน ฟันผุ ตาเข ปากแหว่ง ขนาดไหน ขอเชิญสมัคร เพราะรายการจะปฏิวัติความงามของเธอพวกนั้น ด้วยการศัลยกรรมใหม่ทั้งตัว!!~ สุดยอดการประกวดตัวจริงเสียงจริง ในการประกวดจะตั้งต้นด้วยการปรึกษาว่าจะผ่าอะไรบ้าง ทำอะไรกับร่างกายและมีบำบัดจิตด้วย (เนื่องจากผู้เข้าประกวดมักเป็นพวกสุขภาพจิตตกต่ำ เพราะคิดว่าตัวเองไม่สวย) เธอจะกลายเป็นวัตถุเพศหญิงชิ้นหนึ่ง ที่ต้องมาอยู่กับกองประกวด เขาจะทำอะไรกับเธอก็ได้ ผ่าโน่น ผ่านี่ โดยที่ห้ามเธอดูกระจก จนกว่าจะถึงวันตัดสิน ซึ่งก็ประมาณ 3 –5 เดือนนั่นละ
พวกเธอต้องการสวย และสวย ยอมกระทั่งเป็นตัวอะไรก็ได้

แล้วมันต่างอะไรกับพวกที่ประกวดนางงาม ทั้งจักรวาล ไม่จักรวาล เมื่อเรายอมรับว่าเราต้องการสวย และทำตัวให้สวย ด้วยการยอมเป็นวัตถุชนิดหนึ่ง ให้เขาทำอะไรก็ได้ เขาจับให้เดินก็เดิน ให้หมุน ให้บิด

แล้วมันต่างอะไรกับเราธรรมดาที่ทำตัวให้สวยภายใต้ความต้องการของใครก็ไม่รู้ เพราะจู่ๆ เราก็เกิดอยากผิวขาวอมชมพูขึ้นมา ทั้งๆ ที่เมื่อ 10 ปี ก่อนหน้านี้มันไม่มีนะ วาทกรรมขาวอมชมพู นี่น่ะ (คงเป็นวาทกรรมระดับท้องถิ่น)

แล้วสายตาของใครที่จับจ้องเรากันแน่ สายตาของกรรมการ สายตาของผู้ชม สายตาของพ่อแม่ สายตาของพวกหื่นกาม

ถ้าตอบแบบสตรีนิยม เราก็จะได้คำตอบสำเร็จรูปว่า เราตกอยู่ภายใต้ระบบชายเป็นใหญ่ เราจึงตกอยู่ในมาตรฐานของสายตาของผู้ชาย ที่กำหนดความงามแบบผู้ชาย และเราก็พยายามจะสวยเพื่อสนองสายตาของผู้ชาย เท่านั้นหรือ ไม่เท่านั้น

ปัจจุบันมันเหมือนว่า สายตาของชายเป็นใหญ่มันจะยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยผลประโยชน์ ด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ ด้วยความต้องการมีอำนาจทางเศรษฐกิจ จึงยิ่งนำมาซึ่งวาทกรรมความสวยอันมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากขาวอมชมพู ก็เพิ่มเป็นสวยด้วยวงแขนขาว ต่อไป ‘ฮูขี่ ฮูดาก’ ก็อาจต้องขาวอมชมพูกันแล้ว ถึงจะเรียกว่าสวยตัวจริง

สวยอย่างนางงาม ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องมีอ๊อพชั่น เช่น ฉลาดด้วย เพิ่มรักเด็ก รักธรรมชาติเข้าไปอีก บางพวกก็ฉีกแนวไปเป็นทูตวัฒนธรรม ไปโน่น
มันไม่ใช่แค่สายตาหื่นๆ ทั่วไปอีกแล้วที่กำหนดกรอบความสวย แต่มันกลายเป็นสายตาของผลประโยชน์ สายตาของการเมืองของผู้ชายที่ใช้ความสวยเป็นสิ่งครอบงำผู้หญิงไว้ และยังเป็นการเมืองเรื่องเศรษฐกิจระดับโลก ที่จะต้องดึงผลประโยชน์จากการสร้างความสวยให้เกิดขึ้นในโลก ในเมื่อธุรกิจสงครามมักถูกต่อต้าน ธุรกิจความสวยนี่ล่ะที่มาช่วยชีวิตเศรษฐกิจโลกได้บ้าง เพราะดูแค่ประเทศไทย กะอีแค่รางวัลแต่งกายลิเกยอดเยี่ยมก็ต้องแย่งเขามา เพื่อจะได้ใช้อำนาจจากรางวัลนั้น เป็นอำนาจในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อความ “แรงข้ามทวีป” เข้ากับวาทกรรมใหม่ ที่ว่า “ความสวยคืออำนาจ” อันนี้เป็นถึงอำนาจระดับโลกทีเดียว จะว่าไปแล้ว กี่สิบกี่ร้อยปี นารีก็ยังมีรูปเป็นทรัพย์เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วดูเหมือนทรัพย์นั้นจะเพิ่มค่าขึ้นเสียด้วย

คล้ายกับว่า เราคงต้องเชื่อเสียแล้วว่า ระบบชายเป็นใหญ่อยู่คู่กับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อย่างแยกไม่ออก
และก็อาจต้องเชื่อว่า ประเทศไทย พยายามจะส่งนางงามเป็นสินค้าส่งออก
นี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ เป็นแต่ข้อสังเกตของฉัน