Thursday, May 3, 2007

ผมของผู้หญิง


ผมในที่นี้มิใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง หากแต่เป็นคำนาม อันหมายถึง เส้นผมบนศีรษะ เหตุใดจึงยกเรื่องผมกับผู้หญิงมากล่าวถึงในที่นี้ ก็เพราะในปัจจุบัน ผม ของผู้หญิง ถูกกระทำให้เป็นอำนาจอย่างหนึ่งของผู้หญิงไปเสียแล้ว ผม กลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ “สวยคืออำนาจ” (รวมทั้งผิวขาวอมชมพู รักแร้ขาวนวล อกอวบอิ่ม ฯลฯ)

ความเชื่อในสังคมไทย ก็ถือว่า ผม เป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง สมัยโบราณ หากหญิงสาวคนไหนชอบเสยผม นั่งหวีผมต่อหน้าผู้ชาย มักจะต้องถูกตำหนิ เพราะการกระทำนั้นแสดงถึงการ “ให้ท่า” หรือแรงกว่านั้นก็คือ หมายถึง “ผู้หญิงขายตัว” ดังนั้นหากมีผม ก็ต้องจัดการเก็บเสียให้เรียบร้อย สมเป็นสตรีไทย แต่เมื่อมาถึงยุคทุนนิยม จึงมีการ “บิด” สัญญะของผมเสียเล็กน้อย จากการแสดงการ “ให้ท่า” ก็เปลี่ยนมาเป็น สร้างความ “เซ็กซี่ “ (แล้วมันต่างกันตรงไหนเนี่ย) สัญญะทางเพศในเชิงลบ ก็กลายเป็นในเชิงบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

บรรดาโฆษณา โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ กำลังทำให้ผมสวย กลายเป็นมาตรฐานของลูกผู้หญิง สวยตรงสลวย ห้ามฟูเป็นรังนก ทำสีก็ได้ยิ่งสวยเก๋ ผมสวยกลายเป็นความเซ็กซี่เหลือแสน และความเซ็กซี่นั่นเองที่คืออำนาจของผู้หญิง
เชื่อไหมว่า เมื่อประมาณปีที่แล้ว มีโฆษณาใหญ่ยักษ์ของยาสระผมยี่ห้อหนึ่ง มีคำโปรยประมาณว่า แม้จะ (นมแบน)เป็นไข่ดาว แต่ก็เซ็กซี่ได้ (เพราะยาสระผมยี่ห้อนั้น) “ผม” น่ะ แทน “นม” ได้เลยทีเดียวล่ะ ตามที่โฆษณาเขาพยายามจะยัดเยียดความเชื่อใหม่ๆ ให้ผู้เสพรับสื่อ

หากมองแบบทุนนิยม ผม เป็นส่วนหนึ่งของผู้หญิง ที่จะทำการตลาดได้ง่าย ผม เป็นส่วนประกอบของร่างกายที่ก้ำกึ่งระหว่าง อวัยวะ ที่ต้องดูแลรักษา และเป็นได้ทั้ง แฟชั่น นำสมัย ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อันนำมาซึ่งมูลค่าทางการตลาดมากมาย ทั่วโลก เพราะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมล้วนแต่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ใช้แล้วหมดไป ต้องซื้อใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้น ทุนนิยม จึงเป็นเหตุสำคัญ ในการ บิด สัญญะของผม ทำให้ให้เซ็กซี่นั้นดูดี ควรค่าแก่ผู้หญิงสมัยใหม่ และเคยสังเกตไหมว่า แต่ละเดือนๆ มีสูตรยาสระผม ครีมบำรุงผม น้ำยาทำสีผม ครีมหมักผม ออกมากันเดือนจะกี่สูตรกี่ยี่ห้อ อัดโฆษณากันทีเป็นร้อยล้านพันล้าน ยาสระผมราคาแพงขึ้นๆ ทุกยี่ห้อ

ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดศาสนาอิสลาม จึงอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับทุนนิยมอย่างชัดเจน ในขณะที่โลกทุนนิยม ส่งเสริมให้ผู้หญิงจงใช้ผมของตนเพื่อการเปิดเผย เป็นอิสระ และเซ็กซี่ แต่โลกของมุสลิมกลับบอกว่า จงเก็บผมของเจ้าเสียให้มิดชิดจากผู้อื่น นักสตรีนิยม มักกล่าวหาว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่กดขี่สตรี และมักยกข้อกำหนดมากมายที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมาอ้าง โดยเฉพาะเรื่องการปกปิดผม ในแง่ที่ว่าเป็นการจำกัดสิทธิของเพศหญิง ซึ่งก็เป็นมุมมองแบบตามทฤษฎีสตรีนิยมล้วนๆ

ตามหลักศาสนานั้น การปกปิดผมของผู้หญิงมุสลิม หรือที่เรามักเรียกว่า คลุมฮิญาบ นั้น คือการคลุมผม โดยปิดผ้าคลุมผมลงมาจนถึงหน้าอก การ “ฮิญาบ” มิใช่หมายถึงแค่การคลุมผม แต่รวมถึงการแต่งกายมิดชิด และการประดับเครื่องประดับตามร่างกาย นั่นหมายถึงการควบคุมร่างกายของเพศหญิงอย่างเข้มงวด ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นหญิงมุสลิม เธอกล่าวด้วยศรัทธาว่า พระเจ้าบอกว่าเส้นผมเปรียบเสมือนไฟรุ่มร้อน หากไม่คลุมผมก็ไม่ต่างจากการเดินเปลื้องผ้า ในหนังสือ เรื่อง มากกว่าผ้าคลุมผม ของ กลุ่มสตรีแห่งทางนำ (หน้า 10) ระบุว่า “หากคุณลองสังเกตผู้หญิงที่แต่งกายมิดชิดด้วยชุดยาวตัวหลวม คลุมฮิญาบปกปิดร่างกาย จะพบว่าพวกเธอไม่ได้ดึงดูดความสนใจเอาซะเลย หนำซ้ำยังถูกมองว่าแต่งตัวไม่ทันสมัยอีก นี่คือสิ่งที่พวกเธอยอมแลกกับการรักษาความบริสุทธิ์สะอาด และป้องกันพฤติกรรม ที่อาจก่อความเดือดร้อนแก่เธอ อาทิ การเข้ามาทำความรู้จัก พูดคุย หรือเกี้ยวพาราสี อักทั้งเพื่อไม้ให้เพื่อนต่างเพศจินตนาการถึงเธอ เมื่อมองเห็นอวัยวะบางส่วน หรือสรีระของพวกเธอฯลฯ” หากอ่านรายละเอียดของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับผมและฮิญาบ สิ่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นชัดเจนก็คือ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่รู้ลึกซึ้งถึงสัญชาตญาณของเพศชายเป็นอย่างยิ่ง และยังรู้ดีเสียด้วยว่า เพศชายนั้นยากแก่การควบคุม จึงหันกลับไปควบคุมเพศหญิงแทน

กลับมาถึงเรื่องผม เมื่อศาสนาอิสลามสั่งให้ปกปิดเส้นผม มองศาสนาอื่นจะพบว่าส่วนใหญ่ในทางศาสนา ผมมันจะต้องถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่บนหัวอย่างเรียบร้อย เช่น พระหรือนางชีในคริสตศาสนา ก็ต้องปกคลุมผมให้เรียบร้อย
พุทธศาสนา ก็สั่งให้ปลงผมเช่นกัน เมื่อบวช เป็นทั้งภิกษุและภิกษุณี รวมถึงชี เป็นการยืนยันว่า ผมนั่นเป็นของฟุ่มเฟือย เป็นวัตถุทางโลกย์

แต่ในระบบทุนนิยม ผมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางโลกย์ สร้างความปั่นป่วนให้สังคม และกระเป๋าสตางค์ของเจ้าของผม ที่ยิ่งกว่านั้น คือ ผม กลายเป็นตัวแทนของความต้องการทางเพศ ในชื่อใหม่ไพเราะว่า เซ็กซี่ เด็กสาวสมัยนี้ขยันเข้าร้านทำผมมากกว่าเข้าห้องสมุด เชื่อไหมล่ะ

สังคมนี้ต้องมีสติเสียที แม้หลายคนจะมองว่าก็แค่เรื่องของผม ที่ยังไม่มีใครใส่ใจจริงจัง แต่มันก็แค่เรื่องของผม ที่ถูกปั่นให้มีคุณค่ามากเกินความเป็นจริง ต้องรู้ให้ทันกันหน่อย



1 comment:

tyn_code said...

หนูเพิ่งไปดัดผมมา..ตายละวา
คิดไม่ถึงว่ามันลึกซึ้งขนาดนี้...
เจ๋งค่ะเจ๋ง...
^_^
jeed