Monday, June 11, 2007

คณิกาสร้างวัด กับการแก้ผ้าทำบุญ




เมื่อครั้งเห็นข่าวดาราและไฮโซเปลือยผ้า ถ่ายนู้ดเพื่อหารายได้มาทำบุญให้วัดพระบาทน้ำพุ สิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในสมองคือ ชื่อวัดคณิกาผล

วัดคณิกาผล ปัจจุบันเป็นวัดสายมหานิกาย ตั้งอยู่ถนนพลับพลาไชย บริเวณ "ไชน่าทาวน์" เยาวราช ตามประวัติว่า ในอดีตย่านนั้นเป็นสถานที่รวมของสำนักโคมเขียว ซึ่งวัดนั้นเดิมสร้างขึ้นจากกลุ่มหญิงบริการกลุ่มหนึ่งที่มีหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ “ยายแฟง” เป็นผู้รวบรวม และ ออกทุนให้สร้างวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทขึ้นที่บริเวณตรอกโคก (ปัจจุบันคือ ถนนพลับพลาไชย) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าจีน และ โรงเจตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้วมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อตรอกว่า “วัดโคก” วัดนี้เปิดให้ชาวบ้าน และ สงฆ์ทำพิธีกรรมมานานจนกระทั่งเข้าสู่สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาลูกหลานของย่าแฟงจึงขอพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 4 ให้พระราชทานนามของวัดโคกเสียใหม่ พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “วัดคณิกาผล” ตามประวัติที่มาเดิมนั่นเอง

บริเวณทางเข้าหน้าวัด มีพระพุทธรูปสมเด็จพระอาจารย์โตแห่งวัดระฆังตั้งให้ผู้มีจิตศรัทธาได้แวะเข้ามากราบไหว้ และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในมีรูปปั้นครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่ มีคำจารึกที่ว่า“วัดคณิกาผลนี้ สร้างขึ้นโดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโลหิตในปีพุทธศักราช 2346” (ข้อมูลจาก http://www.bmasmartschool.com)
วัดคณิกาผล จึงเป็นวัดที่เป็นผล แห่งนางคณิกา โดยแท้ ซึ่งมิใช่ความผิดของนางคณิกา หากต้องการจะสร้างวัดเพื่อทำบุญเอาบุญไปไว้เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาลำบากลำบนขายตัว ไม่รู้ว่าคณิกาสมัยก่อนเขาคิดกันอย่างนี้หรือเปล่านะ แต่ข้าพเจ้าบังเอิญได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่ผันตัวจากพนักงานธุรการในบริษัทอาหารชื่อดัง ไปเป็นนางคณิกาในคลับหรูอันดับหนึ่ง ที่มีค่าตัวออฟครั้งละ 2,500 บาท ขึ้นไป เธอเป็นหญิงสาวที่ชอบทำบุญมาก ทุกเดือนเธอต้องไปทำบุญโลงศพที่วัดหัวลำโพง มีบุญอะไรบอกได้ เธอช่วยหมด เธอว่า ชาติหน้าจะได้ไม่ลำบากอย่างที่เป็น เป็นความเชื่อฝังหัวเธอมาก ปัจจุบันเธออยู่ต่างประเทศ มีชายชาวอเมริกันรับเธอเป็นภรรยา และเธอเชื่อว่าเป็นผลจากการที่เธอหมั่นทำบุญกุศล

ไม่แปลกที่คน (ที่คิดว่าตนเอง) บาป จะหมั่นขยันทำบุญ และก็มิใช่เรื่องผิด ที่สังคมจะต้องประณาม หยามเหยียด หากต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเธอ ศาสนาเป็นสิ่งเดียวที่ยึดโยงจิตใจของพวกเธอ และทำให้เธอมีความหวัง (แม้จะฟังดูลมๆ แล้งๆ) กับชีวิตชาตินี้หรือชาติหน้า ดังในอดีตที่คณิกาก็สามารถรวมกลุ่มสนับสนุนสร้างวัดได้

แปลว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการถ่ายนู้ดทำบุญ... หลายคนกำลังถาม

มองเผินๆ อาจจะใช่ ข้าพเจ้าให้ความเป็นธรรมกับพวกหล่อน ในการทำบุญ ทว่า วิธีการทำบุญแบบนี้ดูว่าจะมีนัยยะแอบแผงหลายประการ อันควรค่าแก่การประณามหยามเหยียด!!

พวกหล่อน กระทำการนี้ โดยมิได้มีเจตนาบริสุทธิ์เพื่อการทำบุญ เขียนเป็นโมเดลก็คือ หล่อน--------ถ่ายนู้ด(มีคำปกป้องโก้เก๋ว่าไม่เอาค่าตัว)---------โฆษณา/ลงสื่อ/เป็นข่าว-----------ประมูล-----------เอาเงินไปทำบุญ

ก็พวกหล่อนแต่ละคน ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา มีเงิน มีศักดิ์ศรีในสังคม พวกหล่อนกำเงินไปคนละสามหมื่นห้าหมื่น (หรือบางคนไอ้เงินหลักล้านนั้นถือว่า “ขี้ๆ”) ไปทำบุญโดยตรงเลยตั้งแต่แรก ตัดขั้นตอนทั้งหมดออก แล้วมันไม่ตรงกว่าหรือ นั่นคือ พวกหล่อนต้องการทำบุญ อย่ามาอ้างกันว่า ทำบุญๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะหล่อนไม่ได้ต้องการทำบุญ พวกหล่อนอยากได้หน้า ว่าเป็นผู้ยอมแก้ผ้าเพื่อทำบุญ

กรอบสำคัญของทั้งหมดนี้ คือ ระบบคิดแบบทุนนิยม โดยมีนิตยสารเล่มนั้นเป็นผู้สร้างจุดขาย โดยใช้วิธีคิดงี่เง่าด้วยการใช้ภาพนู้ดเพื่อสร้างจุดขาย มิใช่แค่การเหยียดหญิง ทว่า เหยียดมนุษย์ ทั้งหญิงชาย เหยียดหยามสติปัญญาของผู้เสพงานศิลปะ เหยียดหยามมูลค่าความเป็นคน เหยียดหยามกระทั่งนิตยสารของตัวเอง

หากต้องการถ่ายภาพนู้ดแบบศิลปะ ก็ทำไป เป็นสิทธิ์ของการใช้เรือนร่างทั้งมวล ในทางของทุนนิยม แต่เมื่อคุณเอาสิ่งนี้เข้ามาเป็นจุดขาย เพื่อหาเงิน แล้วยังจะอ้างว่าเอาไปทำบุญ นั่นคือหายนะ

มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าจะเรียกว่าบริสุทธิ์ใจ

เจตนาของนางแบบอาจจะดี แต่กระบวนการคิดทั้งมวล มันบิดเบี้ยว อย่างน่าตกใจ

ข่าวคราวจบลงเมื่อ พระอุดมประชาทร หรือหลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ได้ปฏิเสธรับเงินดังกล่าว โดยมีเหตุผลว่า “หลังมีข่าวออกไป ทางญาติโยมก็โทรศัพท์มาบอกว่าทางวัดไม่ควรรับเงินดังกล่าวเพราะไม่เหมาะสม อาตมาก็เห็นด้วย เพราะหากรับจะดูเหมือนไปส่งเสริมการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ต้องขอบใจในน้ำใจอันดีงามของเหล่าดารานางแบบที่ต้องการจะช่วยเหลือทางวัด แต่ทางที่ดีควรหาวิธีการที่เหมาะสม จะจัดแข่งกีฬา หรือจัดการแสดงดนตรีน่าจะเหมาะกว่า อาตมาคงรับเงินไม่ได้ แต่หากผู้จัดและเหล่าดารามีความตั้งใจจริง ก็ให้นำเงินการกุศลครั้งนี้ไปมอบให้โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 ต.ดงดินแดง อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี แทน เพราะที่นั่นมีลูกหลานของผู้ป่วยเอดส์เรียนหนังสืออยู่” (เดลินิวส์ วัน เสาร์ ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2550)

นอกจากนี้ยังปิดท้ายรายการด้วยข่าว หนึ่งในนางแบบออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “แต่เข็ดเลยกับการทำงานแบบนี้ ต้องบอกว่าต่อไปนี้ ต้องคิดเยอะๆ กับการรับงานอะไรก็ตาม ต้องคิดเสมอว่าถ้ารูปนี้ไปอยู่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์จะเกิดอะไรขึ้น ต่อไปนี้คงจะได้เห็นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” (คมชัดลึก 16 เมษายน 2550)

เรียกว่า “วงแตก”

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ตามข่าวว่า ตกลงดาราทั้งมวล เขาได้เอาเงินไปทำบุญที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์33 ตามที่หลวงพ่ออลงกตท่านชี้แนะหรือไม่

นางคณิกา เขายังสร้างวัดกันสำเร็จ เลยนะ จะบอกให้

Thursday, May 17, 2007

กระหรี่ออนไลน์ โสเภณีสาธารณ์ และผู้ถูกจ้องมอง



การที่ผู้หญิงเป็นสินค้าทางเพศ ก็เป็นที่ชวนกระอักกระอ่วนยิ่งนัก สำหรับข้าพเจ้า แม้จะถือคติแบบสตรีนิยมว่า เรือนร่างของเรา เป็นสิทธิของเรา แต่การเอาเรือนร่างมาเร่ขาย ข้าพเจ้าเห็นว่านับเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างถึงขีดสุด ไม่ให้เหลือความเป็นคนกันอีก เป็นการกระทำที่เจ้าของเรือนร่างคิดว่า มีสิทธิในเรือนร่างเต็มที่ แต่ในความจริง การเร่ขายเช่นนั้น แสดงให้เห็นถึงการนับถือเงินเป็นใหญ่ อย่ามาอ้างสิทธิในร่างกายใดๆ เมื่อนำเรือนร่างมาแบหลาให้เพศตรงข้ามเล่นเป็นของสนุก เพื่อเงิน

ข้าพเจ้าเชื่อในสิทธิของการใช้เรือนร่างของมนุษย์เพศหญิง เช่น พวกหล่อนมีสิทธิในการเลือก ขอย้ำว่า เลือก ที่จะนอนกับคนที่พอใจ เลือก มิใช่ถูกเลือก หรือยอมนอนกับใครก็ได้ เพื่อเงิน นั่นมิใช่หนทางของการใช้เรือนร่างตามสิทธิของตน

ทุนนิยมและโลกเทคโนโลยี กลับยิ่งทำให้คติเร่ขายร่างกาย แพร่หลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สมัยอดีต การโฆษณาสินค้านาผืนน้อย ทำได้เพียงการโฆษณาเฉพาะจุดขาย นั่นคือ มีอะไรก็โชว์กันตรงนั้น ต่อหน้ามนุษย์คู่ค้า อีกนัยหนึ่งคือ เพื่อดักล่อเหยื่อตัณหากลับ ทว่า ในโลกของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต อีเมล เอ็มเอสเอ็น การโฆษณาสินค้าออนไลน์ดูจะกลายเป็นเรื่องระบาดในหมู่วัยรุ่น

ก่อนหน้านี้ อีเมลประเภทเสนอราคาขายชัดเจน แพร่หลายอยู่มาก เป็นการขายสินค้ากันตรงๆ โดยส่งเมล์สุ่มให้กลุ่มลูกค้า เป็นภาพถ่ายทุกอิริยาบท ไม่ต่างจากหนังสือปลุกใจเสือป่า พร้อมระบุว่ายังเรียนอยู่ที่ไหน ติดต่อที่เบอร์ไหน ปิดท้ายว่า ราคาเท่าไหร่ต่อคืน หรือบางคนระบุว่า ไม่รับค้างคืน นี่ชัดเจนว่า เป็นการขายตัวออนไลน์ ไม่ต้องไปนั่งขายยืนขายหน้าโรงแรมสยาม หรือนั่งอ่อยเหยื่อหน้าผับบาร์ดังๆ

การขายตัวจึงกลายเป็นเรื่องง่าย เมื่อสื่อผ่านในอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องกลัวใครมาเห็นตอนยืนขายตัว หากคนรู้จักมาเปิดเจอเมล์ ก็อ้างไปว่า โดนกลั่นแกล้ง เพราะมันไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า

แต่เมื่อมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น โทรศัพท์มือถือถ่ายวิดีโอได้ และยูทูบมียูทูบเป็นเว็บไซต์สื่อกลาง (ไม่อยากบอกว่า จริงๆ มันมีพอร์นทูบอีกอัน นั่นสำหรับพวกฮาร์ดคอร์) การเปิดเผยเรือนร่างแบบสาธารณ์ก็ยิ่งแพร่ระบาด

เริ่มจาก การโชว์เล็กๆ น้อยๆ ผ่านเว็บแคม อวดเนินอก อ้าขาวับแวม จนกระทั่งโชว์แบบถึงขั้นสยองแบบดาราหนังโป๊ โดยนิสัยใจกล้าหน้าด้านเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะพวกหล่อนคิดว่าหล่อนไม่รู้จักคู่สนทนาขนาดที่จะทำให้เกิดความอับอาย

มันระบาด เพราะมันเป็นสื่อที่มีความเป็นส่วนตัวสูง แอบทำในที่ลับ แต่แพร่ขยายกระจายไปดังไฟลามทุ่ง (สำนวนเก่าไปไหมเนี่ย) กลายเป็นคลิป เป็นอีเมล์ ส่งต่อๆๆๆ กันไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ดาราคนไหนออกัสซั่มโชว์ คนทั้งประเทศที่มีคอมพิวเตอร์ ก็สามารถก็รู้กันหมด

การ ที่ดารานางนั้น ทำท่าเซ็กซี่ล่อชาย ออกมา 2 เวอร์ชั่น และกำลังมีเวอร์ชั่นที่ 3 ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะหล่อนให้สัมภาษณ์ว่า หล่อนถ่ายแบบให้นิตยสารฉบับหนึ่ง แล้วนิตยสารฉบับนั้นเอาภาพคลิปวิดีโอมาลงแพร่กระจายในอินเทอร์เน็ต พร้อมกันนั้นก็ทำสุ้มเสียงว่าไม่พอใจ แต่กลับปิดท้ายว่าทำอะไรไม่ได้ ฟ้องก็ไม่ได้ ที่เธอพูดก็นั้นส่อให้เห็นว่า เธอน่าจะมีการเซ็นสัญญาครอบคลุมไว้แล้ว เธอจึงฟ้องร้องไม่ได้ นั่นเป็นการเปิดช่องให้เห็นว่า แท้จริงเธอก็มีส่วนรู้เห็นการกระทำเช่นนี้อยู่ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดที่ปรากฏออกมา

นี่เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่มหาวิบัติ เด็กสาววัยรุ่น ถือเป็นเรื่องยอดฮิตที่จะได้โชว์ของดีของตัวเองในสื่อออนไลน์ โดยคิดว่า เรื่องของกู นมของกู อวัยวะเพศของกู

ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกหล่อนลืมไปว่า หล่อนเป็นเพียงสินค้าในตู้จอคอมพิวเตอร์ ที่นั่งโชว์อวดของดี แสดงท่ายั่วยวน ถึงจุดสุดยอด เพียงเพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้ถูกจ้องมอง” หล่อนกลายเป็นสินค้าทางเพศที่เลือกอะไรไม่ได้ นอกจากแสดงท่ายั่วยวน หล่อนไม่ได้มีอำนาจอันใดในร่างกายของตนเองแม้แต่น้อย หล่อนตกอยู่ในสายตาของเพศชาย และสังคมที่เพศชายมองพวกหล่อนเป็นวัตถุเท่านั้น หล่อนมีค่าไม่ต่างจากการ์ตูนสามมิติเซ็กซี่ในโลกไซเบอร์ที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชาย

หล่อนไม่มีตัวตน ไม่มีหัวใจ ไม่มีวิญญาณ และไม่มีสิทธิใดๆ เพราะหล่อนเป็นวัตถุ

Thursday, May 10, 2007

Be Yourself : Audioslave เป็นตัวเอง ออดิโอสลาฟ

Be Yourself
Artist(Band):Audioslave



Someone falls to pieces
ใครบางคนหล่นสลาย
Sleeping all alone
นอนเดียวดาย
Someone kills the pain
ใครบางคนฆ่าความปวดร้าว
Spinning in the silence
ปั่นป่วนหมุนคว้างอยู่ในความเงียบ
To finally drift away
เพื่อท้ายที่สุด ล่อยลอยเลื่อนลอย
Someone gets excited
ใครบางคนตื่นเต้น
In a chapel yard
อยู่ในสนามของโบสถ์
And catches a bouquet
และรับช่อดอกไม้
Another lays a dozen
ขณะคนอื่นวางดอกไม้นับโหล
White roses on a grave
กุหลาบสีขาวบนหลุมศพ

Yeahhh...

And to be yourself is all that you can do
และ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้
Heyyyy...
To be yourself is all that you can dooo
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Someone finds salvation in everyone
ใครบางคนหาความช่วยเหลือจากคนอื่น
Another only pain
ขณะใครคนอื่นเพียงแค่ทนเจ็บปวด
Someone tries to hide himself
ใครบางคนพยายามซ่อนตนเอง
Down inside himself he prays
จมลงภายในตน เขาภาวนา
Someone swears his true love
ใครบางคนสาบาน ถึงรักแท้
Until the end of time
จนกระทั่งวันสิ้นโลก
Another runs away
ขณะใครคนอื่นกลับวิ่งหนีมัน
Separate or united
แยกออก หรือ รวมกัน
Healthy or insane
สบายดี หรือ บ้า

And to be yourself is all that you can do(all that you can do)
และ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
Yeahhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
Heyyyy...
Be yourself is all that you can do
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Even when you've paid enough
แม้แต่เมื่อคุณชำระมันเพียงพอแล้ว
Been pulled apart or been held up
ถูกดึงกระชากออกเป็นส่วน หรือถูกยกขึ้นมา
Every single memory of the good or bad
ทุกความทรงจำเดียวของความดี หรือ เลว
Faces of luck
ใบหน้าของโชค
Don't lose any sleep tonight
อย่านอนไม่หลับเลย ในคืนนี้
I'm sure everything will end up alright
ฉันมั่นใจ ทุกสิ่งคงจบลง
You may win or lose..
คุณอาจจะชนะ หรือแพ้

But to be yourself is all that you can do
แต่ จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้
Yeahhh...
To be yourself is all that you can do
จงเป็นตัวเอง นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้

Ohhhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้
ohhhh...
To be yourself is all that you can do(all that you can do)
นั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำได้ ทั้งหมดที่คุณทำได้

To be yourself is all that you can--
Be yourself is all that you can--
Be yourself is all that you can dooooooohoooo

Wednesday, May 9, 2007

ความรักตายแล้ว Love is Dead



Nothing ever goes right
Nothing really flows in my life
No one really cares if no one ever shares my care
People push by with fear in their eyes in my life
Love is dead, love is dead
The telephone rings, but no one ever thinks to speak to me
The traffic speeds by,
but no one's ever stopped too late
Intelligent friends don't care in the end,
believe me
Love is dead,
love is dead
And plastic people with imaginary smiles
Exchanging secrets at the back of their minds
Plastic people
Plastic people
Nothing ever goes right
Nothing really flows in my life
No one really cares if this horror's inside my head
People push by with fear in their eyes in my life
Love is dead,
love is dead
Love is dead,
love is dead
Love is dead,
love is dead
And all the lies that you've given us
And all the things things that you said
And all the lies that you've given us...
Blow like wind in my head

Thursday, May 3, 2007

ผมของผู้หญิง


ผมในที่นี้มิใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง หากแต่เป็นคำนาม อันหมายถึง เส้นผมบนศีรษะ เหตุใดจึงยกเรื่องผมกับผู้หญิงมากล่าวถึงในที่นี้ ก็เพราะในปัจจุบัน ผม ของผู้หญิง ถูกกระทำให้เป็นอำนาจอย่างหนึ่งของผู้หญิงไปเสียแล้ว ผม กลายเป็นส่วนประกอบหนึ่งของ “สวยคืออำนาจ” (รวมทั้งผิวขาวอมชมพู รักแร้ขาวนวล อกอวบอิ่ม ฯลฯ)

ความเชื่อในสังคมไทย ก็ถือว่า ผม เป็นสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง สมัยโบราณ หากหญิงสาวคนไหนชอบเสยผม นั่งหวีผมต่อหน้าผู้ชาย มักจะต้องถูกตำหนิ เพราะการกระทำนั้นแสดงถึงการ “ให้ท่า” หรือแรงกว่านั้นก็คือ หมายถึง “ผู้หญิงขายตัว” ดังนั้นหากมีผม ก็ต้องจัดการเก็บเสียให้เรียบร้อย สมเป็นสตรีไทย แต่เมื่อมาถึงยุคทุนนิยม จึงมีการ “บิด” สัญญะของผมเสียเล็กน้อย จากการแสดงการ “ให้ท่า” ก็เปลี่ยนมาเป็น สร้างความ “เซ็กซี่ “ (แล้วมันต่างกันตรงไหนเนี่ย) สัญญะทางเพศในเชิงลบ ก็กลายเป็นในเชิงบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

บรรดาโฆษณา โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ กำลังทำให้ผมสวย กลายเป็นมาตรฐานของลูกผู้หญิง สวยตรงสลวย ห้ามฟูเป็นรังนก ทำสีก็ได้ยิ่งสวยเก๋ ผมสวยกลายเป็นความเซ็กซี่เหลือแสน และความเซ็กซี่นั่นเองที่คืออำนาจของผู้หญิง
เชื่อไหมว่า เมื่อประมาณปีที่แล้ว มีโฆษณาใหญ่ยักษ์ของยาสระผมยี่ห้อหนึ่ง มีคำโปรยประมาณว่า แม้จะ (นมแบน)เป็นไข่ดาว แต่ก็เซ็กซี่ได้ (เพราะยาสระผมยี่ห้อนั้น) “ผม” น่ะ แทน “นม” ได้เลยทีเดียวล่ะ ตามที่โฆษณาเขาพยายามจะยัดเยียดความเชื่อใหม่ๆ ให้ผู้เสพรับสื่อ

หากมองแบบทุนนิยม ผม เป็นส่วนหนึ่งของผู้หญิง ที่จะทำการตลาดได้ง่าย ผม เป็นส่วนประกอบของร่างกายที่ก้ำกึ่งระหว่าง อวัยวะ ที่ต้องดูแลรักษา และเป็นได้ทั้ง แฟชั่น นำสมัย ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อันนำมาซึ่งมูลค่าทางการตลาดมากมาย ทั่วโลก เพราะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมล้วนแต่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ใช้แล้วหมดไป ต้องซื้อใหม่ทั้งสิ้น ดังนั้น ทุนนิยม จึงเป็นเหตุสำคัญ ในการ บิด สัญญะของผม ทำให้ให้เซ็กซี่นั้นดูดี ควรค่าแก่ผู้หญิงสมัยใหม่ และเคยสังเกตไหมว่า แต่ละเดือนๆ มีสูตรยาสระผม ครีมบำรุงผม น้ำยาทำสีผม ครีมหมักผม ออกมากันเดือนจะกี่สูตรกี่ยี่ห้อ อัดโฆษณากันทีเป็นร้อยล้านพันล้าน ยาสระผมราคาแพงขึ้นๆ ทุกยี่ห้อ

ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดศาสนาอิสลาม จึงอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับทุนนิยมอย่างชัดเจน ในขณะที่โลกทุนนิยม ส่งเสริมให้ผู้หญิงจงใช้ผมของตนเพื่อการเปิดเผย เป็นอิสระ และเซ็กซี่ แต่โลกของมุสลิมกลับบอกว่า จงเก็บผมของเจ้าเสียให้มิดชิดจากผู้อื่น นักสตรีนิยม มักกล่าวหาว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่กดขี่สตรี และมักยกข้อกำหนดมากมายที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงมาอ้าง โดยเฉพาะเรื่องการปกปิดผม ในแง่ที่ว่าเป็นการจำกัดสิทธิของเพศหญิง ซึ่งก็เป็นมุมมองแบบตามทฤษฎีสตรีนิยมล้วนๆ

ตามหลักศาสนานั้น การปกปิดผมของผู้หญิงมุสลิม หรือที่เรามักเรียกว่า คลุมฮิญาบ นั้น คือการคลุมผม โดยปิดผ้าคลุมผมลงมาจนถึงหน้าอก การ “ฮิญาบ” มิใช่หมายถึงแค่การคลุมผม แต่รวมถึงการแต่งกายมิดชิด และการประดับเครื่องประดับตามร่างกาย นั่นหมายถึงการควบคุมร่างกายของเพศหญิงอย่างเข้มงวด ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นหญิงมุสลิม เธอกล่าวด้วยศรัทธาว่า พระเจ้าบอกว่าเส้นผมเปรียบเสมือนไฟรุ่มร้อน หากไม่คลุมผมก็ไม่ต่างจากการเดินเปลื้องผ้า ในหนังสือ เรื่อง มากกว่าผ้าคลุมผม ของ กลุ่มสตรีแห่งทางนำ (หน้า 10) ระบุว่า “หากคุณลองสังเกตผู้หญิงที่แต่งกายมิดชิดด้วยชุดยาวตัวหลวม คลุมฮิญาบปกปิดร่างกาย จะพบว่าพวกเธอไม่ได้ดึงดูดความสนใจเอาซะเลย หนำซ้ำยังถูกมองว่าแต่งตัวไม่ทันสมัยอีก นี่คือสิ่งที่พวกเธอยอมแลกกับการรักษาความบริสุทธิ์สะอาด และป้องกันพฤติกรรม ที่อาจก่อความเดือดร้อนแก่เธอ อาทิ การเข้ามาทำความรู้จัก พูดคุย หรือเกี้ยวพาราสี อักทั้งเพื่อไม้ให้เพื่อนต่างเพศจินตนาการถึงเธอ เมื่อมองเห็นอวัยวะบางส่วน หรือสรีระของพวกเธอฯลฯ” หากอ่านรายละเอียดของบทบัญญัติที่เกี่ยวกับผมและฮิญาบ สิ่งหนึ่งที่สามารถมองเห็นชัดเจนก็คือ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่รู้ลึกซึ้งถึงสัญชาตญาณของเพศชายเป็นอย่างยิ่ง และยังรู้ดีเสียด้วยว่า เพศชายนั้นยากแก่การควบคุม จึงหันกลับไปควบคุมเพศหญิงแทน

กลับมาถึงเรื่องผม เมื่อศาสนาอิสลามสั่งให้ปกปิดเส้นผม มองศาสนาอื่นจะพบว่าส่วนใหญ่ในทางศาสนา ผมมันจะต้องถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่บนหัวอย่างเรียบร้อย เช่น พระหรือนางชีในคริสตศาสนา ก็ต้องปกคลุมผมให้เรียบร้อย
พุทธศาสนา ก็สั่งให้ปลงผมเช่นกัน เมื่อบวช เป็นทั้งภิกษุและภิกษุณี รวมถึงชี เป็นการยืนยันว่า ผมนั่นเป็นของฟุ่มเฟือย เป็นวัตถุทางโลกย์

แต่ในระบบทุนนิยม ผมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางโลกย์ สร้างความปั่นป่วนให้สังคม และกระเป๋าสตางค์ของเจ้าของผม ที่ยิ่งกว่านั้น คือ ผม กลายเป็นตัวแทนของความต้องการทางเพศ ในชื่อใหม่ไพเราะว่า เซ็กซี่ เด็กสาวสมัยนี้ขยันเข้าร้านทำผมมากกว่าเข้าห้องสมุด เชื่อไหมล่ะ

สังคมนี้ต้องมีสติเสียที แม้หลายคนจะมองว่าก็แค่เรื่องของผม ที่ยังไม่มีใครใส่ใจจริงจัง แต่มันก็แค่เรื่องของผม ที่ถูกปั่นให้มีคุณค่ามากเกินความเป็นจริง ต้องรู้ให้ทันกันหน่อย



Tuesday, April 24, 2007

ทฤษฎีเมียน้อย



ข่าวคราวของนายแพทย์ท่านหนึ่ง ยังไม่ทราบว่าจะจบแบบไหน แม้ว่าจะมีการยืนยันแล้วว่านายแพทย์ท่านนั้นมีอาการทางจิต ซึ่งก็เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่ต้องดำเนินการกันต่อไป แต่เอาเข้าจริง ถามว่า ประเด็นที่คนทั่วไปสงสัยและติดตามข่าว เอา..เชื่อขนมกินได้ ร้อยละ 70 ไม่ได้สนใจอยากรู้ว่า นายแพทย์จะเป็นโรคจิตประเภทไหน ไม่ว่าจะหงุดหงิด หรือหงุดเงี้ยว แต่สนใจใคร่รู้ว่า หญิงสาวมือที่สามนั้น เป็นใครมาจากไหน และโผล่มาอย่างไร

นางอันเป็นที่รัก นางนั้นไม่เคยเอ่ยว่าตนเองดำรงสถานะไหน เพียงแต่บอกว่า เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจลึกซึ้ง แต่ลักษณะการแสดงออก บ่งชี้ชัดเจนให้บรรดาแม่บ้านและชาวร้านชาวตลาดฟังธงเลยว่า “เมียน้อย” ในขณะที่หนังสือพิมพ์ ใช้คำแทนตัวเธอในการพาดหัวว่า “กิ๊ก” ซึ่งมีความหมายอ่อนกว่าคำว่าเมียน้อย ในทำนองว่า มากกว่าเพื่อนแต่มิใช่แฟน

การแสดงตัวของหล่อนอย่างชัดเจนนี้เอง ที่เรียกกระแสชมรมคนรักเมียหลวงให้ออกมาประนามหล่อนกันอย่างอึกทึกครึกโครม นี่เป็นสังคมที่กระแสเมียหลวงเป็นกระแสหลัก

ในที่นี่เราจะพูดกันถึงเรื่อง “วิธีคิด” แบบเมียน้อยเมียหลวง มิได้พูดถึงในเชิงจริยธรรมใดๆ ดังนั้นก็อาจจะล่อแหลม ฉันอาจจะโดนข้อหาเข้าข้างเมียน้อยได้ จึงขอออกตัวก่อนว่า ฉันก็เป็นเมียหลวงนะท่าน และก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเมียน้อยพอๆ กันนั่นล่ะ

แต่สิ่งที่เรากำลังจะพูดก็คือ ไอ้เมียน้อยเมียหลวง เหตุใดจึงต้องแบ่งข้างจงเกลียดจงชังกัน แย่งตัวผู้ เอ๊ย ผู้ชาย กันอย่างเอาจริงเอาจัง พูดแบบเดิมๆ ก็คือ เราอยู่ในสังคมแบบชายเป็นใหญ่ เราจึงยึดถือที่เพศชายเป็นหลัก การได้เป็น “เมีย” จึงเป็นสถานะสำคัญของผู้หญิงไทย ได้ผัวดีก็เหมือนถูกหวย ได้รับการยกย่องมีสถานะทางสังคม เรียกว่า ผัว เป็นหน้าตาของเมีย ดังนั้นการได้ผัว ที่มีเมียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ต้องเปิดสงครามแย่งผัวกันเสียหน่อย เข้าข่ายหญิงเหยียดหญิง ทำลายพวกเดียวกันเอง

มองแบบพวกโรคจิตคิดมาก ทฤษฎีสมคบคิด ก็ต้องบอกว่า ขบวนการของเพศชายเข้มแข็งในการสร้างบรรทัดฐานเรื่องเมียน้อยเมียหลวงขึ้นมา ก็เพื่อทำลายขบวนการเพศหญิง จะได้ไม่อาจลุกขึ้นมาล้มล้างผู้ชาย เพราะมัวแต่แก่งแย่ง ครอบครองเพศชาย ไม่มีเวลามายึดครองโลกอะไรหรอก แล้วเพศชายก็จะควบคุม “แนวความคิด” ทั่วโลกกันต่อไป (โอเวอร์เหมือนหนังซุปเปอร์แมนมากๆ เลยค่ะ) แล้วก็ให้รางวัลเพศหญิงเสียหน่อย หากเป็นเมียที่ดี หรือเป็นเพศหญิงที่อยู่ในกรอบของเพศชาย ก็มีรางวัลไปบ้าง ตำแหน่งบ้าง มีส่วนร่วมในทางการเมืองบ้าง มีหน้าตาทางสังคมบ้าง และแน่นอนมีเงินทองทรัพย์สินด้วยจากการทำงานหนักโดยไม่ไปแย่งตำแหน่งผู้นำของเพศชาย

เมียที่ดี ก็มีลักษณะที่เข้าข้างเพศชายเต็มๆ เมียหลวงที่ดี คือเมียหลวงที่ไม่ถามถึงเมียน้อย และเมียน้อยที่ดีก็คือ เมียน้อยที่ไม่ไปบุกบ้านเมียหลวง
ย้ำกันอีกว่า นี่เป็นการว่าในเชิงทฤษฎี เพราะฉะนั้น การที่ ภรรยาที่มาทีหลังเกิด จากการรักผู้ชายที่มีภรรยาแล้วอย่างมาก และยอมทุกอย่างด้วยความรัก ก็อธิบายตามทฤษฎีได้ว่า “เข้าทาง” ความต้องการของเพศชาย นั่นคือ ยินยอมอยู่ใต้กรอบเมียน้อยและเมียหลวงที่ดี (ความรักไม่อาจอธิบายเป็นทฤษฎีได้)

แต่อย่างที่บอก ผัวย่อมเป็นหน้าตาของเมีย ดังนั้น หากแม้เป็นเมียน้อย ฝ่ายหญิงก็ยอมแหกกฎเมียน้อยที่ดีในวันหนึ่ง เพื่อจะประกาศให้โลกรู้ว่า อย่างเดี๊ยน ก็มีผัวดีๆ เหมือนกัน แม้มันจะมีเมียแล้วก็เหอะ

ที่สำคัญ ตำแหน่งเมียน้อย ย่อมกดดันให้ผู้หญิงที่รับตำแหน่งนั้น ต้องแสดงตัวออกมาสักวัน แม้จะมีผัวเลี้ยงอย่างดี แต่ขาดไร้ซึ่งหน้าตาทางสังคม ต่างจากเมียหลวงที่มีความมั่นคงทางสถานะมากกว่า จึงมีส่วนสำคัญในการกดดันให้เมียน้อยทำอะไรที่ “หวือหวา” กว่าเมียหลวง และมักเป็นเหตุให้เกิดเรื่องเกิดราวมากมาย อย่างที่จะเห็นในหนังสือพิมพ์ทั่วๆไป ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ความผิดเรื่องเมียน้อยนี่ต้องยกให้ผู้ชายไปเต็มๆ ใครใช้ให้หาเหามาใส่หัว แล้วก็ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ล่ะ
กรณีเมียน้อยของนางอันเป็นที่รัก ประเด็นสำคัญคือ การที่หล่อนเป็นเมียน้อย หล่อนจึงถูกยัดเยียดความผิดให้ในสถานะเมียน้อย หล่อนตกเป็นตัวแทนของผู้หญิงไม่ดี แย่งผัวชาวบ้าน (ทั้งที่หล่อนพยายามอธิบายว่าหล่อนได้รับความเมตตาจากเพศชายผู้นั้นมากมายขนาดไหน) ถูกขุดคุ้ยประวัติชาติตระกูล ถูกขุดเอารูปถ่ายสมัยหน้าตาอย่างกับอึ่งมาตีแผ่เผยแพร่ ชีวิตของหล่อนแม้ยิ้มหน้าระรื่น จะมีใครคิดไหมว่า หล่อนก็อาจจะอกตรมอยู่ภายใน หล่อนไม่มีความสุขหรอก เพราะหล่อนกำลังเป็นจำเลยของสังคม

จำเลยของสังคมที่เทิดทูนเพศชาย
เห็นไหม ว่าผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด

Thursday, April 12, 2007

จุดขายข่าว สิทธิในการโป๊ และทฤษฎีการสมคบคิด






















จุดขายข่าว สิทธิในการโป๊ และทฤษฎีการสมคบคิด
ที่มาภาพ จาก http://www.matichon.co.th/news_relate/gallery.php?reid=20070213082616

ข่าวที่ฮือฮาไปไม่กี่วันนี้ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวสุดขีดของดาราหน้าตาดีมั่งไม่ดีมั่ง ดังมั่งไม่ดังมั่ง ในงานสุพรรณหงส์ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ “ความโป๊เปลือย” ถูกนำมา “ฉะ” กันอีกรอบ
ดาราคนหนึ่ง (ที่ไม่เคยเห็นหนังของเธอเลย ให้ตายเหอะ) ปีที่แล้วก็ตกเป็นข่าวท่อนบนหลุด มาปีนี้ท่อนล่างโผล่ ส่วนนางเอกคนหนึ่งที่หน้าตาจัดว่าสวย โดนประณามเพราะเสื้อแสนบาง ที่ปิดเต้าได้ซีกเดียว ส่วนที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นดาราที่อุตสาห์พ่วงดีกรีนักศึกษามหาวิทยาลัย มาในชุดที่คิดไม่ออกว่า ไปงานกลางคืน หรือไปนั่งในตู้ (ตู้เย็นมั้ง)

เซ็กส์ เป็นจุดขายของสื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ รวมทั้งวิทยุ ทั้งการข่าว การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ เพราะเซ็กส์ เป็นจุดขายที่กระตุ้นได้ง่ายที่สุด ก่อกระแสความอยากรู้อยากเห็นไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งฉาวยิ่งดัง ยิ่งเปิดนิดยิ่งอยากดูอีกหน่อย ดังนั้น หากแค่เห็นเจ้าหล่อนเดินมาแต่ไกลจากปากทางเข้างานสุพรรณหงส์ ก็บอกได้ง่ายๆ ว่า พวกหล่อนมีจุดขายอยู่กับตัว ทั้งท่อนบนทอนล่างทีเดียว

ถามว่า พวกหล่อนทำผิดหรือไม่ ที่แต่งตัวอื้อฉาวคาวโลกย์ขนาดนั้น ถ้าอ้างแบบ “เฟมฯๆ” ก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่า “ร่างกายของฉันก็คือร่างกายของฉัน และสิทธิทั้งมวล อยู่ที่ตัวฉัน” พวกหล่อนอาจจะเป็นเฟมินิสต์สุดขั้วที่ต้องการประกาศว่า ผู้หญิงมีสิทธิ์ในการใช้เรือนร่างของตัวอย่างเต็มที่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่คำตอบของดาราคนหนึ่ง ที่ระบุว่า
“ค่ะอยากดัง จริงๆ นักแสดงและดาราที่เข้ามาตรงนี้ทุกคนมีจุดมุ่งหวังของชีวิตว่า มาอยู่ตรงนี้ก็อยากทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของตัวเอง นิวยอมรับว่าอยากดัง นิวรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่อยากบอกกับสื่อ และผู้บริโภค แต่นิวรู้สึกว่าเราตะโกนออกไปไม่มีใครได้ยินเสียงของเราเลย แต่วันนี้ทุกคนได้ยินเสียงนิวแล้วก็อยากจะบอกว่า อย่ามองแต่ความเซ็กซี่ของนิว ช่วยมองที่ความสามารถ หันกลับมามองเรื่องการแสดงและบทบาทเป็นอย่างไร “ (อ้างจาก ข่าวสดออนไลน์ http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03p0101140250&day=2007/02/14§ionid=0301)

นี่เป็นคำพูดที่พุ่งเป้าไปสู่สื่อมวลชนโดยเฉพาะ หญิงสาวคนหนึ่งพยายามจะบอกว่า หากหล่อนอยู่ในกรอบเกณฑ์ หล่อนไม่ได้รับความสนใจจากสื่อ แต่เมื่อใดที่หล่อนขายเซ็กส์ สื่อจะตะครุบหล่อนทันที ดังนั้น การที่หล่อนโชว์เนื้อหนัง ก็เพราะหล่อนต้องการให้สังคม (แบบชายเป็นใหญ่) หันมามองความสามารถของหล่อน สื่อมวลชนจึงเป็นจำเลยสำคัญในกรณีนี้ สื่อมวลชนทำหน้าที่ดุจพระเจ้าที่จะเลือกนำผู้หญิงคนใดมากล่าวถึง ขึ้นหน้าหนึ่ง พวกหล่อนที่เป็นเพียงเพศรองที่ต้องแสดงตัวให้ถูกเลือกจึงไม่มีวิธีอื่น นอกจากโชว์เนินเนื้อเท่านั้น สื่อเป็น “ผู้ดู” ทั้งนักข่าว ช่างภาพ และเป็น “ผู้เลือก” ประเมินค่า ตีราคาพวกหล่อน รวมทั้งเป็นคนสำคัญในการนำพวกหล่อนมาขายอย่างถูกต้อง ด้วยการขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ในขณะเดียวกันก็ยัดเยียดข้อหาดาวยั่วสวาทให้พวกหล่อนเสร็จสรรพ อีกทั้งไปแสวงหาคำประเมินคุณค่าอีกมากมายมาตอกย้ำความเป็นดาวยั่วของพวกหล่อน สายตาของสื่อเป็นตัวแทนของสายตาหื่นกระหายของระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่
ใช่ พวกหล่อนมีสิทธิจะแต่งกายอวดเรือนร่าง แต่หล่อนลืมคิดไปว่า พวกหล่อนอยู่ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ และเนื้อตัว ร่างกายของพวกหล่อน ถูกจ้องมอง ถูกตีค่า จากสายตาของพระเจ้าสื่อมวลชน ดังนั้นเมื่อหล่อนจึงทำตัวเป็น “ผู้ถูกมอง” อย่างที่สังคมแบบชายเป็นใหญ่ต้องการ นั่นคือ โชว์เนินเนื้อให้เต็มที่ ก่อนที่จะแสดงบท “เด็กสาวถูกลงโทษ” ด้วยการออกรายการโทรทัศน์ ร้องห่มร้องไห้สำนึก หรือโร่ชี้แจงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งหมดทั้งมวล คือภาพบทบาทของหญิงสาวยั่วสวาทสำนึกผิด ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชาย (ไม่ใช่แต่เสี่ยเจียงที่เป็นผู้ชายเป็นใหญ่ แต่สังคมนี้ คือผู้ชายเป็นใหญ่) เราจึงเห็นปรากฏการณ์ดังที่เกิดขึ้นในจอโทรทัศน์ หรือหน้าหนังสือพิมพ์

แต่จากเหตุการณ์นี้ ใครบ้างที่ได้ประโยชน์ หญิงสาวเป็นเพียงหมากเดียว ในเกมของผลประโยชน์ (แม้ว่าหล่อนจะคิดว่าหล่อนได้ประโยชน์จากการนี้ เพราะสื่อมวลชนหันมามองพวกหล่อนเป็นตาเดียว และหล่อนก็มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ และได้ออกข่าวช่วงไพรมไทม์อย่างน้อย 3 วันติดกัน)
อันดับแรก สื่อมวลชน ได้มีข่าวฉาวขายต่อเนื่องไป 3 วัน จากกรณีของหล่อน ไปสู่การพยายามจะโทษว่าพวกหล่อนเป็นต้นเหตุของปัญหาสังคม แม้จะมีความคิดเห็นตรงข้ามบ้าง แต่ก็เป็นเพื่อรักษาสมดุลของข่าว ตามทฤษฎีข่าวเท่านั้น) เพื่อให้เกิดกระแสโต้เถียงกันบ้าง เป็นการขายข่าวได้ต่อเนื่องแตกไปอีกหลายประเด็น (รวมถึงบทความนี้ด้วย)

อันดับที่สอง หนังชื่อพิลึกๆ ทั้งหลายที่หล่อนร่วมแสดง กลับได้รับการพูดถึงซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่ต้องทำการตลาด ไม่ต้องซื้อหน้าโฆษณาหนังสือพิมพ์ขายดีอันดับประเทศ ไม่ต้องซื้อเวลาข่าวโทรทัศน์ ดาราร่วมแสดงได้ออกรายการโดยไม่ต้องร้องขอ รายการคุยข่าวทั้งหลายเอ่ยถึงโดยไม่ต้องเสียเงินจ้าง ดังล้ำหน้าหนังไปอีก ปลุกกระแสได้น่าตื่นใจโดยยังไม่ได้เปิดตัว
นี่อาจเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ที่ทำให้พวกหล่อนต้องยอมเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ ด้วยคำสัญญาเบื้องหลังว่า พวกหล่อนจะดังในชั่วข้ามคืน เป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนไม่น้อย เพราะดาราทุกวันนี้ล้นจอจนเกิดยากเกิดเย็นเหลือเกิน

มีแต่พวกหล่อนเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ ในขณะที่ทุกฝ่ายฉกฉวยทุกอย่างจากร่างกายของหล่อน
แล้ว...คนที่หากินกับผู้หญิงขายเรือนร่าง เขาเรียกว่า “แมงดา” มิใช่หรือ??